BISI คืออะไร BISI ย่อมาจาก Buy Side Imbalance Sell Side Inefficiency เป็นอีกหนึ่งแนวคิดสำคัญของ ICT (Inner Circle Trader) ในการวิเคราะห์ Fair Value Gap (FVG) แบบ Bullish ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับ SIBI โดยมีจุดสำคัญดังนี้: เกิดจาก FVG ในทิศทางขาขึ้น ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างต่อเนื่อง แรงซื้อมีมากกว่าแรงขายอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงการครอบงำของฝั่งซื้อ (Buy Side Imbalance) การเข้ามาของแรงขายมีอย่างจำกัด ไม่สามารถสกัดกั้นแรงซื้อได้ (Sell Side Inefficiency) ลักษณะของรูปแบบ BISI BISI จะปรากฏเป็นการเรียงตัวของแท่งเทียนอย่างน้อย 3 แท่งติดกัน โดยแท่งแรกมักจะมีขนาดใหญ่ที่สุด แสดงถึงแรงซื้อที่หนักแน่น ตามมาด้วยแท่งเทียนที่มีขนาดเล็กลง แต่ก็ยังค่อนข้างใหญ่และมีการปิดตัวสูงกว่าแท่งก่อนหน้า ลักษณะเด่นของแท่งเทียนแต่ละแท่งใน BISI คือจะมีไส้เทียน (Real Body) ที่ใหญ่ [อ่านเนื้อหา]
Category Archives: Forex article
ฟอเร็กซ์ คืออะไร
SIBI คืออะไร SIBI ย่อมาจาก Sell Side Imbalance Buy Side Inefficiency เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญของ ICT (Inner Circle Trader) ในการวิเคราะห์ Fair Value Gap (FVG) แบบ Bearish โดยมีลักษณะสำคัญคือ: เป็นการเกิด FVG ในทิศทางขาลง ตามด้วยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว เกิดจากแรงขายมากกว่าแรงซื้ออย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นถึงการครองตลาดของฝั่งขาย (Sell Side Imbalance) การเข้ามาของแรงซื้อมีจำกัด และไม่สามารถสร้างแรงต้านกดดันได้มากพอ (Buy Side Inefficiency) ลักษณะของรูปแบบ SIBI SIBI จะมีลักษณะเป็นการเรียงตัวของ 3 แท่งเทียนเป็นอย่างน้อย โดยมักมีแท่งเทียนแรกที่ใหญ่ที่สุด บ่งบอกถึงแรงขายที่หนักแน่น ตามด้วยแท่งเทียนที่เล็กลงมา แต่ยังคงมีขนาดค่อนข้างใหญ่และปิดตัวต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า จุดสำคัญคือ แท่งเทียนแต่ละแท่งจะมีส่วนไส้เทียน (Real Body) ขนาดใหญ่ ในขณะที่ส่วนเงา (Shadow/Wick) มีขนาดเล็กมากหรือแทบไม่มีเลย [อ่านเนื้อหา]
Flip Zone (SRF) คืออะไร Flip Zone หรือ Support Resistance Flip (SRF) คือโซนราคาที่เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้าน (Resistance) แต่เมื่อราคาสามารถเบรคขึ้นไปได้แล้ว มันจะกลายเป็นแนวรับ (Support) ใหม่ในอนาคต หรือในทางกลับกัน คือแนวรับเดิมที่เมื่อถูกเบรคลงมา ก็จะกลายเป็นแนวต้านแทน การกลับตัวของแนวรับ/แนวต้านนี้ เป็นผลมาจากหลักการทางจิตวิทยาของตลาด กล่าวคือ: เมื่อราคาสามารถผ่านแนวต้านไปได้ นักเทรดที่เคยขายที่แนวนั้นจะเกิดความกังวล และอาจปิดออเดอร์ขาดทุน ขณะที่คนที่รอซื้อเมื่อราคาย่อลงมาก็จะเปลี่ยนมุมมองว่าตอนนี้แนวต้านเดิมน่าจะกลายเป็นแนวรับแล้ว จึงเข้าซื้อที่แนวนั้นแทน ส่งผลให้ราคาไม่ค่อยร่วงหลุดแนวนั้นได้ง่ายๆ อีก ในทางตรงข้าม เมื่อราคาร่วงหลุดแนวรับ นักเทรดที่เคยซื้อตรงนั้นก็อาจจะเกิดแรงกดดันและทยอยปิดออเดอร์ขาดทุนออกมา ทำให้กลายเป็นแรงขายที่ฉุดรั้งไม่ให้ราคากลับขึ้นไปยืนเหนือแนวรับเดิมได้ ส่งผลให้แนวรับเดิมมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแนวต้านในอนาคต ลักษณะของ Flip Zone ที่มักเกิดขึ้นในตลาด Forex เกิดขึ้นได้ในทุกกรอบเวลา แต่ยิ่งกรอบเวลาใหญ่ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ จะยิ่งมีผลมากขึ้น มักเกิดหลังจากมีการเคลื่อนไหวแรงๆ ในทิศทางตรงข้ามกับเทรนด์เดิมครั้งใหญ่ เช่น การย้อนตัวหลังจากขาขึ้นหรือขาลงที่ยาวนาน ต้องมีปริมาณการซื้อขายรองรับสูง เพราะถ้าเบรคโดยที่มีโวลุ่มต่ำ ก็อาจจะเป็นการเบรคหลอก ควรมีแท่งเทียนยืนยันการกลับตัวของแนวรับ/แนวต้าน เช่น [อ่านเนื้อหา]
PDL และ PDH คืออะไร PDL ย่อมาจาก Previous Day Low หมายถึงจุดต่ำสุดของราคาในวันก่อนหน้า PDH ย่อมาจาก Previous Day High หมายถึงจุดสูงสุดของราคาในวันก่อนหน้า แม้จะเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่าย แต่ PDL และ PDH มีความสำคัญอย่างมากต่อการเทรดระยะสั้นแบบ Day Trade เนื่องจาก: เป็นระดับราคาสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มและความรู้สึกของตลาดในวันก่อนหน้า มักจะกลายเป็นแนวรับ/แนวต้านชั่วคราว ที่นักเทรดจำนวนมากจับตามองและวางคำสั่งซื้อขายเอาไว้ ราคามักจะมีปฏิกิริยาที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับระดับ PDL / PDH เช่น อาจมีการรีบาวน์ หรือเบรคผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของการดู PDL / PDH สำหรับ Day Trader ใช้วัดความแข็งแกร่ง/อ่อนแอของราคา หากราคาเปิดมาอยู่เหนือ PDH และสามารถรักษาระดับไว้ได้ตลอดช่วงแรก แสดงถึงแรงซื้อที่มากกว่า บ่งบอกถึงโอกาสในการเทรดตามเทรนด์ขาขึ้น หากราคาร่วงหลุด PDL ตั้งแต่ช่วงแรก และไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ แสดงถึงแรงขายที่มีมากกว่า บ่งบอกถึงโอกาสในการชอร์ตตามเทรนด์ขาลง [อ่านเนื้อหา]
Market Structure Break คืออะไร Market Structure Break หรือ Break of Structure (BOS) คือจุดที่ราคาสามารถทะลุผ่านโครงสร้างสำคัญของกราฟ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการต่อยอดของเทรนด์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการทำ Higher High ในช่วงขาขึ้น หรือ Lower Low ในช่วงขาลง ลักษณะสำคัญของ Market Structure Break ได้แก่: ราคาสามารถเบรคผ่าน Swing High / Swing Low ก่อนหน้า ซึ่งเป็นจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้น มักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาเคลื่อนตัวอยู่ในทิศทางเดิมมาได้ระยะหนึ่ง แสดงถึงการมีแรงซื้อหรือขายต่อเนื่อง ยิ่งเกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ เช่น H4, Daily ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น การเกิด BOS มักจะส่งผลให้กราฟมีการวิ่งต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกันได้อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการย้อนตัวหรือพักฐาน ความสำคัญของ Market Structure Break ต่อการวิเคราะห์เชิงเทคนิค สำหรับนักเทรดที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก การระบุ [อ่านเนื้อหา]
Market Structure Shift (MSS) คืออะไร Market Structure Shift หรือ MSS คือสัญญาณบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดในระยะสั้นถึงระยะกลาง ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับตัวของเทรนด์ในที่สุด โดยทั่วไป MSS มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวได้สักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีการชะลอตัวและเกิดการพักฐานของราคา ลักษณะสำคัญของ MSS ได้แก่: ราคาไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher High) ในเทรนด์ขาขึ้น หรือทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม (Lower Low) ในเทรนด์ขาลงได้อีกต่อไป เกิดการเบรคโครงสร้างของกราฟ (Break of Structure) เมื่อราคาสามารถปิดเหนือแนวต้านสำคัญในขาขึ้น หรือทะลุหลุดแนวรับสำคัญในขาลง มีการเคลื่อนไหวแบบ Displacement หรือการวิ่งของราคาอย่างรุนแรงไปในอีกทิศทางหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่เกิดการเบรคโครงสร้างไปแล้ว สัญญาณของ MSS เป็นตัวบ่งชี้เบื้องต้นว่าตลาดอาจกำลังเปลี่ยนทิศทางในระยะสั้นถึงกลางนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะเกิดการกลับตัวของเทรนด์ขึ้นเสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง MSS กับแนวคิดของ ICT MSS เป็นแนวคิดหนึ่งที่นักเทรดในกลุ่ม ICT (Inner Circle Trader) นิยมใช้ในการวิเคราะห์กราฟ ควบคู่ไปกับเครื่องมืออื่นๆ [อ่านเนื้อหา]
ความหมายของ QML ใน Forex QML ย่อมาจาก Quasimodo Level หมายถึง ระดับราคาสำคัญบนกราฟที่มีลักษณะคล้ายกับตัวละคร Quasimodo จากนวนิยายเรื่อง The Hunchback of Notre-Dame เป็นจุดที่เกิดการสะสมออเดอร์ของนักเทรดจำนวนมาก ทำให้มีการตอบสนองที่รุนแรงเมื่อราคากลับมาทดสอบซ้ำ ตามทฤษฎีแล้ว QML เปรียบได้กับแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก เมื่อราคาไม่สามารถผ่านไปได้ มักจะเกิดการกลับตัวทันที ในทางกลับกัน หากราคาสามารถทะลุผ่าน QML ไปได้ มักจะเกิดการเคลื่อนไหวต่อเนื่องในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน QML อาจปรากฏในหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น Head and Shoulders, Double Top/ Bottom แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ Quasimodo Pattern ลักษณะของ Quasimodo Pattern เป็นรูปแบบกราฟราคาที่มีลักษณะคล้ายกับหลังค่อม หรือตัว M ที่ไม่สมมาตร โดยจะประกอบด้วยยอด 2 ยอด ที่มีระดับความสูงต่างกัน ยอดแรกที่สูงกว่าเรียกว่า “Quasimodo High” (QH) [อ่านเนื้อหา]
Demand Supply Zone คืออะไร Demand Supply Zone เป็นบริเวณสำคัญบนกราฟราคา ที่แสดงถึงระดับของอุปสงค์และอุปทานที่มีนัยยะสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา Demand Zone (โซนอุปสงค์) คือระดับราคาที่เชื่อว่ามีแรงซื้อสะสมหนาแน่น เปรียบเสมือนแรงหนุนที่คอยประคองไม่ให้ราคาลงต่ำไปกว่านั้น Supply Zone (โซนอุปทาน) คือระดับราคาที่คาดว่ามีแรงขายกระจุกตัวอยู่มาก ทำหน้าที่เป็นแรงต้านที่กดดันไม่ให้ราคาขึ้นสูงกว่าจุดนั้นไปได้ Demand Supply Zone เป็นบริเวณที่นักลงทุนสถาบันหรือผู้เล่นรายใหญ่มักสะสมสถานะซื้อขายเอาไว้ จึงส่งผลอย่างมากต่อพลวัตของตลาด เมื่อราคากลับมาทดสอบ Demand Supply Zone ซ้ำ มักจะเกิดการตอบสนองที่ชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการเข้าออเดอร์ตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ลักษณะของ Demand Supply Zone ที่แข็งแกร่ง เกิดขึ้นในทิศทางตามเทรนด์หลัก: โซนที่อยู่ในทิศเดียวกับแนวโน้มของกราฟ มักจะทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่า มีการสะสมออเดอร์หนาแน่น: โซนที่ราคาใช้เวลาอยู่นานและมีการซื้อขายคึกคัก สะท้อนถึงการสะสมสถานะที่มากกว่าปกติ ราคาตอบสนองอย่างรวดเร็ว: Demand Zone ที่ดี เมื่อราคากลับมาแล้วมักจะถูกดันกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ส่วน Supply Zone ที่แกร่งก็ทำให้ราคายุบฉับพลัน โซนที่ “เด่น” และเห็นได้ชัด: โซนเด่นที่มองเห็นบนกราฟได้ง่าย [อ่านเนื้อหา]
ความหมายของแท่ง Imbalance แท่ง Imbalance หรือแท่งความไม่สมดุล เป็นรูปแบบหนึ่งของแท่งเทียน (Candlestick Pattern) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันของแรงซื้อและแรงขายในช่วงเวลาหนึ่งๆ มักปรากฏขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอุปสงค์หรืออุปทานของคู่สกุลเงิน ส่งผลให้ราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นพิเศษ แท่ง Imbalance บ่งบอกถึงการเข้ามาแทรกแซงของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด ซึ่งสามารถดูดซับสภาพคล่องและบิดเบือนทิศทางของราคาในระยะสั้นได้ การเกิดแท่ง Imbalance บ่อยครั้ง มักเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดในอนาคตอันใกล้ แท่ง Imbalance ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักเทรดวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์การสะสมอุปสงค์อุปทานตามแนวคิด Smart Money Concept ประเภทของแท่ง Imbalance Bullish Imbalance: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นแท่งเทียนขนาดใหญ่ มีไส้เทียนยาวและอาจมีเงาบนสั้นๆ สะท้อนการเข้ามาของแรงซื้อที่มากกว่าแรงขายอย่างเห็นได้ชัด Bearish Imbalance: เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างเห็นได้ชัด มักจะเป็นแท่งเทียนทิศทางลงขนาดใหญ่ ไส้เทียนยาว และอาจมีเงาล่างสั้นๆ แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาทำกำไรและกดดันให้ราคาตกลงอย่างหนัก Neutral Imbalance: เป็นแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ แต่ราคาปิดอยู่ตรงกลางหรือใกล้เคียงจุดกึ่งกลางพอสมควร มีลักษณะคล้ายแท่งเทียน Doji ที่มีไส้เทียนสั้นมาก อาจสะท้อนถึงภาวะตลาดที่เกิดความไม่แน่นอนหรือสงครามระหว่างแรงซื้อกับแรงขายในช่วงเวลานั้น วิธีการหาแท่ง Imbalance บนกราฟ สังเกตขนาดของแท่งเทียนเทียบกับแท่งข้างเคียง หากมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เช่น ยาวกว่าเกิน [อ่านเนื้อหา]
Rejection Block คืออะไร Rejection Block หรือบล็อกการปฏิเสธ เป็นรูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern) ที่สะท้อนถึงการต่อต้านหรือการไม่ยอมรับของราคา ณ บริเวณระดับใดระดับหนึ่ง มักเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนเข้าใกล้หรือทดสอบแนวรับ/แนวต้าน, ระดับ Fibonacci, หรือโซนสำคัญอื่นๆ แล้วเกิดการชะลอตัวหรือปฏิเสธที่จะเคลื่อนไปต่อ Rejection Block บ่งบอกถึงการเข้ามาของแรงซื้อ/แรงขายที่คอยต้านทานการเปลี่ยนแปลงราคาเอาไว้ ณ จุดนั้นๆ ซึ่งมักมาจากคำสั่งรอซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ หากมีการปรากฏของ Rejection Block ซ้ำๆ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง จุดนั้นอาจกลายเป็น Support หรือ Resistance ที่แข็งแกร่งในอนาคต Rejection Block มีความสำคัญในการช่วยยืนยันการกลับตัวของราคา และมักเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการเข้าออเดอร์ในทิศทางตรงข้ามกับแรงปฏิเสธที่เกิดขึ้น ลักษณะของ Rejection Block บนกราฟ โดยปกติ Rejection Block จะมีไส้เทียน (Candle Body) ขนาดเล็ก แต่มีเงาบน/เงาล่าง (Upper/Lower Shadow) ที่ยาวมาก ในกรณีของการปฏิเสธขาลง (Bearish Rejection) [อ่านเนื้อหา]