สรุปหนังสือ The Bitcoin Standard : ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง

The Bitcoin Standard ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง 01
The Bitcoin Standard ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง 01

สารบัญ : The Bitcoin Standard : ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง

  • บทที่ 1 เงิน
  • บทที่ 2 เงินบรรพกาล
  • บทที่ 3 เหรียญโลหะ
  • บทที่ 4 เงินตรารัฐบาล
  • บทที่ 5 เงินและความโหยหาผลตอบแทนระยะสั้น
  • บทที่ 6 ระบบการสื่อสารของระบอบทุนนิยม
  • บทที่ 7 เงินที่มั่นคงและเสรีภาพในระดับบุคคล
  • บทที่ 8 เงินดิจิทัล
  • บทที่ 9 บิตคอยน์มีประโยชน์อย่างไร
  • บทที่ 10 คำถามเกี่ยวกับบิตคอยน์
  • เทคโนโลยีบล็อกเชน

สรุปข้อคิดจากหนังสือ The Bitcoin Standard 

สรุปข้อคิดหนังสือเล่มนี้จะพาคุณย้อนไปสำรวจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเงินตรา ตั้งแต่ยุคบรรพกาลไปจนถึงยุคปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเงินคืออะไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และในท้ายที่สุด ทำไมสกุลเงินดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” ถึงมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินหลักของโลกได้ในอนาคต

ผู้เขียนได้อธิบายแนวคิดที่น่าสนใจมากมาย ทั้งในแง่ของเศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคม และเทคโนโลยี ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อระบบการเงินของเรามาโดยตลอด หากคุณกำลังสนใจเรื่องบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัล หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

1.บิตคอยน์ ถือกำเนิดในยามที่ระบบการเงินเก่ากำลังล่มสลาย

บิตคอยน์ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2008 ในช่วงที่วิกฤตการเงินในสหรัฐกำลังทวีความรุนแรง เศรษฐกิจทั่วโลกหดตัว และความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินเริ่มเสื่อมถอย ผู้คนเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการออมและลงทุน บิตคอยน์จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะ “ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบเพียร์-ทู-เพียร์” ที่มุ่งแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงของระบบการเงินแบบรวมศูนย์ ด้วยการทำให้ทุกคนสามารถส่งและรับเงินได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินใดๆ เลย

2.เงิน คือสื่อกลางของการแลกเปลี่ยน สิ่งที่คนในสังคมยอมรับ

เงิน ไม่จำเป็นต้องเป็นเหรียญ ธนบัตร ทองคำ หรือวัตถุใดๆ เสมอไป เพราะสิ่งที่เรียกว่า “เงิน” นั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ ที่ผู้คนในสังคมให้การยอมรับและนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นเปลือกหอย เกลือ เมล็ดโกโก้ ลูกปัด แผ่นหิน หรือแม้แต่กระดาษธรรมดาๆ ก็ได้ ขอเพียงแค่มีคนจำนวนมากพอยอมรับมูลค่าและพร้อมที่จะใช้มันในการแลกเปลี่ยน นั่นก็ถือว่าเป็นเงินแล้ว

3.หินเงินบนเกาะหยาป สะท้อนหลักการของบิตคอยน์ได้เป็นอย่างดี

บนเกาะหยาป มีวิธีการใช้เงินที่แปลกและไม่เหมือนใคร เพราะเงินของพวกเขาคือแท่งหินขนาดใหญ่ ที่หนักมากถึง 4 ตันต่อก้อน ซึ่งทำให้การใช้จ่ายเงินบนเกาะนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องตะโกนบอกทุกคนให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของแท่งหินก้อนไหน และใครจะโอนเงินให้ใคร ซึ่งก็คล้ายกับการทำงานของบิตคอยน์ที่เปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมทุกอย่างแบบโปร่งใส และใช้การฉันทามติจากทุกคนในเครือข่ายในการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง

4.เงินจะมีคุณค่าได้ ต้องหายาก สร้างใหม่ได้ไม่ง่าย

สิ่งสำคัญที่ทำให้วัตถุสิ่งของต่างๆ กลายเป็นเงินได้นั้น คือการที่มันมีจำนวนจำกัด หาได้ยาก และไม่สามารถสร้างหรือผลิตขึ้นมาใหม่ได้ง่ายๆ เพราะหากใครก็สามารถสร้างเงินขึ้นมาได้เองตามใจชอบแล้วละก็ มูลค่าและอำนาจซื้อของเงินนั้นก็จะลดลง จนไม่มีใครอยากใช้มันเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเงินหินบนเกาะหยาป ที่มูลค่าร่วงลงอย่างหนักเมื่อมีคนเอาหินจากที่อื่นมาเพิ่มปริมาณในระบบจนเฟ้อ

5.Process of Civilization หรือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

Process of Civilization คือกระบวนการที่มนุษย์ยอมเสียสละความสุขสบายเล็กน้อยในวันนี้ เพื่อสร้างเครื่องมือหรือวิธีการที่จะช่วยให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้น เช่น การหยุดจับปลาเพื่อไปทำเบ็ดตกปลา การเลิกล่าสัตว์เพื่อไปทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ หรือการเก็บออมเงินแทนการนำไปใช้จ่ายเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษยชาติสามารถสะสมทุน ต่อยอดความรู้ และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เราอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้

6.ระบบเงินตราที่ผูกติดกับรัฐ ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและวิกฤตการเงิน

การที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตและควบคุมปริมาณเงินในระบบ ทำให้มีแรงจูงใจที่จะสร้างเงินออกมาใช้เกินตัว เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจหรือใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของรัฐ จนนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ที่ทำให้ค่าเงินตราลดลงและสินค้าแพงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเงินเฟ้อรุนแรงจนเกินควบคุม ก็จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินในที่สุด ซึ่งเราเห็นตัวอย่างนี้ได้จากประวัติศาสตร์ในหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี จีน หรือเวเนซุเอลา เป็นต้น

7.ทองคำเคยเป็นมาตรฐานที่ใช้หนุนหลังค่าเงินแต่ก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด

ก่อนที่จะมีระบบเงินตราแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สกุลเงินต่างๆ มักจะอิงกับทองคำ กล่าวคือมูลค่าของเงินจะถูกคำนวณจากปริมาณทองคำที่แต่ละประเทศมีเป็นทุนสำรอง ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพและไม่ผันผวนมากนัก แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยความจำเป็นในการพิมพ์เงินมาใช้จ่ายในยามสงคราม หลายประเทศจึงเริ่มละทิ้งการใช้ทองคำมาตรฐาน และหันมาใช้ระบบเงินตราที่รัฐเป็นผู้ควบคุมแทน ซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมาอย่างที่เล่าไปข้างต้น

8.เงินดิจิทัล คือเงินที่ไม่ต้องพึ่งความน่าเชื่อถือของรัฐหรือองค์กรใดๆ

คริปโตเคอร์เรนซี หรือเงินดิจิทัล ที่มีบิตคอยน์เป็นตัวแรกและโด่งดังที่สุดนั้น มีคุณสมบัติสำคัญคือไม่จำเป็นต้องใช้ธนาคารกลางหรือภาครัฐเป็นผู้ควบคุมดูแล เพราะอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน ในการบันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินแบบอัตโนมัติ ทำให้ทุกคนไว้ใจได้ว่าเงินดิจิทัลจะไม่ถูกปลอมแปลงหรือโกงได้ง่ายๆ และไม่ต้องกลัวว่ารัฐจะเข้ามายึดหรือควบคุมเงินของเราตามอำเภอใจ อีกทั้งยังทำให้การโอนเงินและชำระเงินทำได้ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย

9.เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียมองว่าควรจำกัดปริมาณเงิน แต่เคนส์มองต่าง

เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรีย มีแนวคิดว่าควรจำกัดปริมาณเงินไม่ให้มีมากเกินไป เพราะถ้ามีเงินเยอะเกินไปมันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ ทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และบั่นทอนแรงจูงใจในการออมและลงทุน ในขณะที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลักสำนักเคนส์เชื่อว่า รัฐควรเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีด

10.บิตคอยน์มีข้อจำกัดในการใช้เป็นสื่อกลางในชีวิตประจำวัน

แม้ว่าบิตคอยน์จะถูกออกแบบมาให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้แทนเงินปกติได้ แต่ในความเป็นจริง การใช้บิตคอยน์ในชีวิตประจำวันยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งในแง่ของจำนวนร้านค้าที่รองรับ ความเร็วในการโอนย้ายเงิน และความผันผวนของมูลค่า ทำให้หลายคนยังมองบิตคอยน์เป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไรหรือเก็บสะสมมากกว่าที่จะใช้จ่ายจริง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปมากขึ้นและผู้คนคุ้นชินมากขึ้น บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ก็น่าจะเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

11.รัฐอาจเข้ามาควบคุมและแทรกแซงตลาดคริปโตได้เช่นกัน

ถึงแม้หลักการเริ่มต้นของบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลคือการกระจายอำนาจ ไม่ให้ใครสามารถผูกขาดหรือควบคุมตลาดได้ฝ่ายเดียว แต่เมื่อมูลค่าของคริปโตเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น ทางการหลายประเทศก็เริ่มออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมการซื้อขาย ICO การเก็บภาษี รวมถึงการห้ามทำธุรกรรมบางประเภท ซึ่งการเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ก็อาจทำให้ตลาดคริปโตสูญเสียเสถียรภาพและความหมายของการเป็นสกุลเงินที่เป็นอิสระไปได้ในระยะยาว จึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวในส่วนนี้อย่างใกล้ชิด

12.เทคโนโลยีบล็อกเชนไม่ได้มีดีแค่ในแง่ของการเงิน แต่ประยุกต์ใช้ได้อีกมากมาย

แม้จะเป็นที่รู้จักกันในฐานะเทคโนโลยีฐานที่ใช้ในการขุดและซื้อขายเงินดิจิทัลเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วศักยภาพของบล็อกเชนนั้นมีมากกว่านั้นมาก เราสามารถประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ากับงานด้านอื่นๆ ที่ต้องการความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนหลังได้ และป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร เช่น การบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ การจดทะเบียนที่ดิน การตรวจสอบที่มาของสินค้า การเลือกตั้งและการออกเสียง ไปจนถึงการทำสัญญาอัจฉริยะที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง เป็นต้น

13.บิตคอยน์อาจเป็นได้แค่จุดเริ่มต้น สกุลเงินดิจิทัลอนาคตอาจวิวัฒน์ไปอีกมาก

เราอาจมองบิตคอยน์เหมือนเป็น “สกุลเงินดิจิทัล 1.0” เพราะแม้จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลรุ่นบุกเบิก แต่บิตคอยน์ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งในเรื่องความเร็ว ความสามารถในการปรับขนาด และฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อยอดในสกุลเงินดิจิทัลรุ่นใหม่ๆ เช่น Ethereum, Cardano, Polkadot เป็นต้น ดังนั้นเราอาจต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าในอนาคตข้างหน้า บิตคอยน์อาจไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกเสมอไป เพราะอาจมีเทคโนโลยีหรือสกุลเงินอื่นๆ ที่วิวัฒน์ไปมากกว่านี้อีก

14.การลงทุนในบิตคอยน์ ต้องศึกษาอย่างรอบคอบและรับมือความเสี่ยงให้ได้

ด้วยความผันผวนของราคาที่รุนแรงในบางครั้ง กอปรกับความไม่แน่นอนเรื่องกฎระเบียบและทิศทางในอนาคต การลงทุนในบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลจึงถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยี และสามารถรับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังต้องมีวินัยในการบริหารพอร์ต ไม่ใช้เงินเกินตัว และต้องสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ราคาร่วงลงอย่างหนักโดยไม่ตื่นตระหนกได้ด้วย มิเช่นนั้นอาจสูญเสียเงินทุนไปโดยใช่เหตุได้ง่ายๆ ดังนั้นก่อนจะลงทุนในคริปโต จึงควรทำการบ้านและสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนเสมอ

15.ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่อาจเกิดขึ้นได้จากเทคโนโลยีบล็อกเชน

หากสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์สามารถเติบโตจนเข้ามาแทนที่ระบบการเงินแบบเดิมได้สำเร็จ สิ่งที่จะตามมาก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเมื่อผู้คนหันมาใช้เงินดิจิทัลกันมากขึ้น รัฐก็จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมนโยบายการเงินและการกระจายรายได้ ภาคธุรกิจเองก็จะปรับตัวสู่โมเดลแบบใหม่ที่พึ่งพาสินทรัพย์ดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางเศรษฐกิจอาจลดลงได้บ้าง เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น และรายได้อาจกระจายสู่ผู้ที่มีส่วนร่วมในระบบนิเวศของบล็อกเชนอย่างแท้จริง

สรุป

The Bitcoin Standard เป็นหนังสือที่ให้ทั้งความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และเทคโนโลยีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของระบบเงินตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่สกุลเงินดิจิทัลเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผู้เขียนได้เล่าถึงปัญหาของระบบการเงินแบบเดิมที่มีรัฐเป็นศูนย์กลาง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและความไม่เสถียรของค่าเงินในหลายครั้ง และเสนอว่าสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ ซึ่งไม่ต้องพึ่งความน่าเชื่อถือของรัฐ ผลิตได้ในจำนวนจำกัด และตรวจสอบได้โดยกลุ่มผู้ใช้เครือข่าย จะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้และกลายเป็นอนาคตใหม่ของระบบการเงินโลกได้

แม้ว่าบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลายจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีความไม่แน่นอนในหลายด้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเทคโนโลยีการเงินที่น่าจับตามองที่สุดในปัจจุบัน ใครที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ การลงทุน และอนาคตของเงินดิจิทัล ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้เลย