คำสอนของนิกายเซ็น นิกายเซ็น (Zen Buddhism) เป็นหนึ่งในนิกายของพุทธศาสนามหายานที่เน้นการปฏิบัติสมาธิและการตระหนักรู้โดยตรงเพื่อเข้าถึงการตรัสรู้ คำว่า “เซ็น” มาจากคำสันสกฤต ธยาน (dhyana) ซึ่งหมายถึงการทำสมาธิ และสะท้อนถึงแก่นของนิกายนี้ที่ให้ความสำคัญกับ ซาเซ็น (การนั่งสมาธิ) และประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่าการยึดติดกับคัมภีร์หรือพิธีกรรม นิกายเซ็นมีชื่อเสียงจากคำสอนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง การใช้โกอัน (คำถามหรือเรื่องราวที่ขัดแย้ง) และแนวคิดที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างมีสติในขณะปัจจุบัน บทความนี้รวบรวมคำสอนสำคัญของนิกายเซ็นจากแหล่งข้อมูลทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย โดยมุ่งนำเสนอคำสอนให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ครอบคลุมประมาณ 3,000 คำ พร้อมอ้างอิงท้ายบทความ แก่นของคำสอนนิกายเซ็น คำสอนของนิกายเซ็นมีรากฐานจากพุทธศาสนามหายาน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง ศูนยตา (ความว่างเปล่า) และ ธรรมชาติของพระพุทธเจ้า (Buddha-nature) ที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตาม เซ็นมีเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดธรรมะผ่านวิธีที่ไม่เป็นทางการ เช่น การใช้โกอัน การสนทนากับครู และการปฏิบัติที่เน้นความเรียบง่าย คำสอนของเซ็นมักเน้นการก้าวข้ามความคิดแบบทวินิยม (เช่น ดี-เลว, มี-ไม่มี) และการตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง 1. การถ่ายทอดนอกคัมภีร์ หนึ่งในหลักการสำคัญของเซ็นคือ เกียวเกะ เบ็ตสึเด็น (kyōge betsuden) หรือ “การถ่ายทอดแยกต่างหากนอกคำสอน” ซึ่งหมายถึงการถ่ายทอดธรรมะจากครูสู่ศิษย์โดยไม่ต้องพึ่งพาคัมภีร์ [อ่านเนื้อหา]
Category Archives: Other Article
บทความอื่น ๆ
กำเนิดนิกายเซน นิกายเซ็น (Zen Buddhism) เป็นหนึ่งในนิกายของพุทธศาสนามหายานที่มีรากฐานมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในอินเดียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช คำว่า “เซ็น” มาจากคำสันสกฤต ธยาน (dhyana) ซึ่งแปลว่าการทำสมาธิ และสะท้อนถึงแก่นของนิกายนี้ที่เน้นการปฏิบัติสมาธิเพื่อเข้าถึงการตรัสรู้โดยตรง แม้ว่านิกายเซ็นในรูปแบบที่ชัดเจนจะพัฒนาขึ้นในจีนในช่วงศตวรรษที่ 5-6 แต่จุดกำเนิดของแนวคิดและการปฏิบัติที่เป็นรากฐานของเซ็นสามารถสืบย้อนไปถึงอินเดียในยุคแรกของพุทธศาสนา บทความนี้จะสำรวจจุดกำเนิดของนิกายเซ็นในอินเดียอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นไปที่บริบททางประวัติศาสตร์ ปรัชญา และการปฏิบัติในช่วงพุทธศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราชถึงพุทธศตวรรษที่ 1 ครอบคลุมประมาณ 1,500 คำ พร้อมการอ้างอิงจากแหล่งภาษาอังกฤษและภาษาไทย บริบททางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดีย พุทธศาสนากำเนิดขึ้นในอินเดียตอนเหนือในช่วงราว 563-483 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ บรรลุการตรัสรู้และกลายเป็นพระพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์เน้นหนทางสู่การพ้นทุกข์ผ่าน มรรคมีองค์แปด ซึ่งประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ในจำนวนนี้ การปฏิบัติสมาธิ (สมาธิ) มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะ ฌาน (jhana) ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่สงบและมุ่งมั่นจากการฝึกสมาธิ คำว่า ฌาน ในภาษาบาลีมีความหมายเดียวกับ ธยาน ในภาษาสันสกฤต ซึ่งต่อมากลายเป็นรากศัพท์ของคำว่า “เซ็น” [อ่านเนื้อหา]
แนวคิดและคำสอนของเล่าจื๊อปรัชญาเต๋าอย่างครอบคลุม เล่าจื๊อ (Lao Tzu) ปราชญ์จีนโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาเต๋า (Taoism) และผู้เขียน เต๋าเต็กเก็ง (Tao Te Ching) คัมภีร์อันลึกซึ้งที่รวบรวมคำสอนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับ เต๋า (Tao) หรือ “หนทาง” อันเป็นกฎแห่งจักรวาล แนวคิดของเล่าจื๊อเน้นความเรียบง่าย ความสมดุล และการยอมรับธรรมชาติของสิ่งต่างๆ คำสอนของเขาไม่เพียงเป็นแนวทางสำหรับการใช้ชีวิตส่วนตัว แต่ยังเป็นปรัชญาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมและการบริหารได้ บทความนี้จะขยายขอบเขตคำสอนของเล่าจื๊อให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยจัดหมวดหมู่ตามแก่นสำคัญของปรัชญาเต๋า พร้อมอธิบายเหตุผลในการจัดหมวดหมู่และนำเสนอคำสอนเพิ่มเติมที่สะท้อนความลึกซึ้งของ เต๋าเต็กเก็ง เหตุผลในการจัดหมวดหมู่ การจัดหมวดหมู่คำสอนของเล่าจื๊อในบทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจปรัชญาเต๋าในมิติที่หลากหลายและเป็นระบบ คำสอนของเล่าจื๊อใน เต๋าเต็กเก็ง ประกอบด้วย 81 บท ซึ่งครอบคลุมแนวคิดที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การจัดหมวดหมู่ช่วยให้สามารถแยกแยะประเด็นหลักๆ เช่น การเข้าใจเต๋า การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการบริหารจัดการ โดยหมวดหมู่เหล่านี้ถูกเลือกจากแก่นของคำสอนที่ปรากฏบ่อยใน เต๋าเต็กเก็ง และมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในยุคสมัยใหม่ การจัดหมวดหมู่ยังช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิด เช่น อู๋เว่ย (Wu Wei) ที่สัมพันธ์กับความเรียบง่าย และความอ่อนน้อมที่เชื่อมโยงกับการเป็นผู้นำ หมวดหมู่และคำสอนของเล่าจื๊อ 1. เต๋า: หนทางแห่งจักรวาล [อ่านเนื้อหา]
กระดาษเป็นหัวใจสำคัญของการพิมพ์หนังสือแบบเล่มมาช้านาน แม้ว่าในยุคดิจิทัลนี้ การอ่านจะมีทั้งรูปแบบเล่มที่ต้องใช้กระดาษและรูปแบบ E-book ที่อ่านผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต โดยไม่ต้องใช้กระดาษเลย แต่อุตสาหกรรมการพิมพ์หนังสือยังคงผลิตทั้งสองรูปแบบควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง สำนักพิมพ์แต่ละแห่งเลือกใช้กระดาษที่แตกต่างกันตามจุดประสงค์ของงานพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงาม ความเหมาะสมกับการใช้งาน ลักษณะเฉพาะของงานพิมพ์ หรือแม้แต่การควบคุมต้นทุนเพื่อให้ราคาหนังสืออยู่ในระดับที่เหมาะสม กระดาษแต่ละประเภทและขนาดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณภาพและประสบการณ์ของผู้อ่าน บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเกี่ยวกับมาตรฐานขนาดกระดาษ ISO 216 และประเภทของกระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์หนังสืออย่างละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจและเลือกใช้กระดาษได้อย่างเหมาะสม ที่มาภาพปก: https://unsplash.com/photos/a-white-paper-on-a-white-surface-kZ6UYXwMMD8 ความสำคัญของกระดาษในงานพิมพ์ กระดาษไม่เพียงแต่เป็นสื่อที่ใช้ถ่ายทอดเนื้อหา แต่ยังมีผลต่อความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้อ่าน คุณสมบัติของกระดาษ เช่น ความหนา ผิวสัมผัส สี และความทนทาน สามารถกำหนดลักษณะของหนังสือได้ เช่น หนังสือเรียนที่ต้องการความทนทานและถนอมสายตา หรือนิตยสารที่เน้นสีสันสดใสและความเงางาม นอกจากนี้ การเลือกกระดาษยังส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สำนักพิมพ์ต้องพิจารณาเพื่อให้หนังสือมีราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การทำความเข้าใจมาตรฐานขนาดและประเภทของกระดาษจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการพิมพ์ มาตรฐานของขนาดกระดาษ ISO 216 มาตรฐานขนาดกระดาษ ISO 216 เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีพื้นฐานมาจากมาตรฐาน German DIN 476 ที่พัฒนาขึ้นในเยอรมนี จุดเด่นของระบบนี้คือการรักษาอัตราส่วนของกระดาษให้คงที่เมื่อพับครึ่ง โดยมีสัดส่วนกว้างต่อยาวเท่ากับ [อ่านเนื้อหา]
อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมรดกวัฒนธรรมอันโดดเด่น โดยเฉพาะประเพณีปักธงชัย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความสามัคคี และความเชื่อของชุมชน ในอดีต ชาวนครไทยเผชิญการรุกรานจากกลุ่มฮ่อ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์จีนยูนนานที่เคลื่อนย้ายและก่อความไม่สงบในภูมิภาค การปักธงบนยอดเขาช้างล้วง—จุดยุทธศาสตร์ที่มองเห็นได้จากระยะไกล—ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แม่ทัพและชาวบ้านเตรียมรับมือศัตรู บทความนี้จะสำรวจประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และรากภาษาลาวของชาวนครไทย รวมถึงบริบทของการรุกรานจากกลุ่มฮ่อ และความสำคัญของเขาช้างล้วงในฐานะสัญลักษณ์แห่งการปกป้องและชัยชนะ 1. รากฐานชาติพันธุ์และภาษาของชาวนครไทย ชาวนครไทยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ไท (Tai) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักในประเทศไทย ลาว และภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง กลุ่มไทมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ในบริเวณตอนใต้ของจีน โดยเฉพาะในมณฑลยูนนานและกวางสี การอพยพของกลุ่มไทเริ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 8-13 เนื่องจากแรงกดดันจากชาวจีนฮั่น การรุกรานของมองโกล และการแสวงหาดินแดนที่เหมาะสมสำหรับการทำนาข้าว ความใกล้ชิดกับกลุ่มลาว (Tai Lao): ชาวนครไทยมีรากภาษาและวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับกลุ่มลาว (Tai Lao) ซึ่งเป็นกลุ่มไทที่ตั้งถิ่นฐานในลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ภาษาที่ใช้ในชุมชนนครไทยมีสำเนียงและคำศัพท์ที่คล้ายกับภาษาลาวมากกว่าภาษาเหนือของไทยวน (Tai Yuan) ตัวอย่างเช่น การออกเสียงคำว่า “บ้าน” อาจออกเป็น “บาน” หรือการใช้คำว่า “ข้อย” แทน “ฉัน” ซึ่งพบได้ในภาษาลาวและภาษาอีสาน นอกจากนี้ การเรียกชื่อสถานที่ เช่น “เขาช้างล้วง” หรือ [อ่านเนื้อหา]
การซ้อนทับควอนตัม (Quantum Superposition) เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งท้าทายความเข้าใจเชิงสามัญสำนึกของเราเกี่ยวกับโลกรอบตัว ในขณะที่วัตถุในชีวิตประจำวันของเราดูเหมือนจะอยู่ในสถานะหรือตำแหน่งที่แน่นอน แต่ในโลกควอนตัม อนุภาคสามารถอยู่ในหลายสถานะหรือหลายตำแหน่งพร้อมกันได้ จนกว่าจะมีการวัดหรือสังเกต การซ้อนทับควอนตัมคืออะไร? ในทางคณิตศาสตร์ การซ้อนทับควอนตัมอธิบายได้ว่าเป็นหลักการที่ว่า “การรวมกันเชิงเส้น (linear combinations) ของผลเฉลยของสมการชเรอดิงเงอร์ ก็เป็นผลเฉลยของสมการชเรอดิงเงอร์ด้วย” นี่เป็นผลมาจากการที่สมการชเรอดิงเงอร์เป็นสมการอนุพันธ์เชิงเส้น พูดง่ายๆ คือ สถานะของระบบควอนตัมคือการรวมกันเชิงเส้นของทุกสถานะที่เป็นไปได้ แต่ละสถานะมีค่าความน่าจะเป็นที่เฉพาะเจาะจง และเมื่อเราทำการวัด ระบบนั้นจะ “ยุบ” ลงเป็นหนึ่งในสถานะเหล่านั้น เปรียบเทียบกับคลื่นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เข้าใจแนวคิดนี้ได้ง่ายขึ้น เราสามารถเทียบกับคลื่นน้ำในสระ: เมื่อคุณโยนก้อนหินสองก้อนลงในน้ำ คลื่นจะแผ่ออกจากจุดที่ก้อนหินตกและเมื่อคลื่นเหล่านี้มาบรรจบกัน พวกมันจะรวมกันสร้างรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น: บางจุด คลื่นจะเสริมกัน (ยอดคลื่น + ยอดคลื่น) ทำให้คลื่นสูงขึ้น บางจุด คลื่นจะหักล้างกัน (ยอดคลื่น + ท้องคลื่น) ทำให้น้ำนิ่งสงบ นี่คือ “การซ้อนทับ” ของคลื่นน้ำที่เราสามารถมองเห็นได้ คลื่นควอนตัมก็คล้ายกัน แต่แทนที่จะแสดงการเคลื่อนที่ของน้ำ คลื่นควอนตัมแสดงความน่าจะเป็นที่จะพบอนุภาคในสถานะหรือตำแหน่งต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในกลศาสตร์ควอนตัม การซ้อนทับไม่ได้เป็นเพียงแค่การรวมกันของสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นสถานะพื้นฐานของความเป็นจริงเอง [อ่านเนื้อหา]
Bill Gates มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Microsoft ที่ผันตัวมาเป็นนักการกุศล เป็นที่รู้จักในฐานะนักอ่านตัวยงและมักจะแนะนำหนังสือดีๆ อยู่เสมอ ในการตอบคำถามบน Reddit AMA (Ask Me Anything) ครั้งล่าสุด Gates ได้แบ่งปันรายชื่อหนังสือ 8 เล่มที่เขาคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีที่สุดตลอดกาล หนังสือเหล่านี้มีความหลากหลายทั้งประเภทและหัวข้อ สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่กว้างขวางและความอยากรู้อยากเห็นทางปัญญาของ Gates 1. Grand Transitions โดย Vaclav Smil Gates อธิบายหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น “ผลงานชิ้นเอก” จาก “หนึ่งในนักคิดที่ผมชื่นชอบที่สุด” Vaclav Smil เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชาวแคนาดาเชื้อสายเช็กที่มีชื่อเสียงในการวิเคราะห์ระบบพลังงาน เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และประชากร ใน “Grand Transitions” Smil ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้ว่า Gates จะยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคนเนื่องจากเนื้อหาที่ค่อนข้างเทคนิค แต่เขาชื่นชมการศึกษาของ Smil เกี่ยวกับการเติบโตในหลากหลายด้าน ตั้งแต่ไดโนเสาร์ไปจนถึงชิปคอมพิวเตอร์ Gates กล่าวว่า “ไม่มีใครมองภาพรวมได้กว้างขวางเท่า Vaclav Smil” [อ่านเนื้อหา]
ประวัติขงจื๊อ ขงจื๊อ (孔子, ค.ศ. 551–479 ก่อนคริสต์ศักราช) หรือชื่อเต็มว่า คงชิว (孔丘) เป็นปราชญ์ชาวจีนในสมัยยุควสันตฤดูและใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Period) ผู้ก่อตั้งปรัชญาขงจื๊อ (Confucianism) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรม ศีลธรรม และการเมืองในจีนและเอเชียตะวันออก ปรัชญาของเขามุ่งเน้นเรื่องศีลธรรมส่วนบุคคลและของรัฐ ความสัมพันธ์ทางสังคมที่กลมกลืน ความยุติธรรม ความเมตตา และความรับผิดชอบของผู้นำในการปกครองด้วยคุณธรรม ขงจื๊อถูกยกย่องว่าเป็น “ปราชญ์สูงสุด” ของจีน และมรดกของเขายังคงมีอิทธิพลต่อสังคมจีนและโลกจนถึงปัจจุบัน ชีวิตและการศึกษาของขงจื๊อ ขงจื๊อเกิดเมื่อประมาณปี 551 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองโจว (Zou) ในรัฐหลู่ (Lu) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองชวีฝู่ มณฑลซานตง บิดาของเขาคือ คงเหอ (Kong He) ผู้บัญชาการทหารชราที่เสียชีวิตเมื่อขงจื๊ออายุเพียง 3 ปี ทำให้เขาต้องเติบโตในความยากจนกับมารดา หยานเจิงไจ (Yan Zhengzai) ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเขาอายุราว 20 ปี ขงจื๊อได้รับการศึกษาในโรงเรียนสำหรับสามัญชน โดยเรียนรู้ [อ่านเนื้อหา]
100 หนังสือเด็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล: การสำรวจโดย BBC Culture สำรวจปี 2023 บทนำ ในปี 2023 BBC Culture ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังสือเด็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล โดยมีรายละเอียดดังนี้: ผู้เข้าร่วมการสำรวจ: ผู้เชี่ยวชาญ 177 คนจาก 56 ประเทศทั่วโลก บริบทของการสำรวจ: เกิดขึ้นในช่วงที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับความสำคัญของหนังสือเด็กเมื่อเทียบกับหนังสือผู้ใหญ่ มีการอภิปรายเรื่องการแก้ไขเนื้อหาในหนังสือของ Roald Dahl ให้เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน เกิดความกังวลเกี่ยวกับการห้ามอ่านหนังสือเด็กบางเล่มในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับเชื้อชาติและ LGBTQ+ ผลการสำรวจ ผลการสำรวจแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของหนังสือเด็ก: ระยะเวลา: ตั้งแต่นิทานโบราณอย่าง Panchatantra (2,000 ปีก่อน) จนถึงหนังสือร่วมสมัยอย่าง A Kind of Spark (2020) ภาษา: ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็มีหนังสือจากหลากหลายประเทศ ยุคสมัย: หนังสือส่วนใหญ่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1950-1970 ข้อจำกัดของการสำรวจ หนังสือภาษาอังกฤษมีสัดส่วนมากเกินไป อาจมีอคติจากช่วงวัยของผู้ลงคะแนน (ส่วนใหญ่เกิดในช่วงปี 1970-1980) จุดประสงค์ของการสำรวจ ไม่ได้มุ่งหวังให้เป็นคำตอบสุดท้าย [อ่านเนื้อหา]
“Stories That Shaped the World” โดย BBC Culture BBC Cultureได้จัดอันดับเกี่ยวกับเรื่องราว เรื่องเล่า และวรรณกรรมที่ส่งอิทธิพลต่อความคิดและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมากที่สุดในโลก โดยได้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวรรณกรรมจำนวน 108 คนจาก 35 ประเทศทั่วโลก ผลสำรวจนี้ได้รายชื่อวรรณกรรมทรงอิทธิพล 100 เรื่องที่เขียนด้วยภาษาที่แตกต่างกันถึง 33 ภาษา โดยผลสำรวจนี้ทำการเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2024 ผลการสำรวจแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อมนุษยชาติ ตั้งแต่มหากาพย์โบราณไปจนถึงนวนิยายร่วมสมัย โดยมีทั้งผลงานที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและผลงานที่อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักในวงกว้าง แต่มีอิทธิพลสำคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม การสำรวจนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุด “Stories That Shaped the World” โดย BBC Culture โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาเรื่องราวที่มีอิทธิพลต่อความคิดและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การสำรวจนี้ไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างรายการที่เด็ดขาด แต่ต้องการจุดประกายการสนทนาเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้เรื่องราวบางเรื่องยังคงอยู่และมีความสำคัญแม้เวลาจะผ่านไปหลายศตวรรษหรือสหัสวรรษ จำนวนและที่มาของผู้เชี่ยวชาญ BBC Culture ได้รับคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ 108 คนจาก 35 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วยนักเขียน นักวิชาการ นักข่าว นักวิจารณ์ และนักแปล ความหลากหลายของผู้เชี่ยวชาญนี้ช่วยให้การสำรวจครอบคลุมมุมมองที่กว้างขวางและหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ [อ่านเนื้อหา]