นิกายเซน ประวัติอย่างละเอียด ที่มาของแนวคิดวิถีเซน

Table of Contents

กำเนิดนิกายเซน

นิกายเซ็น (Zen Buddhism) เป็นหนึ่งในนิกายของพุทธศาสนามหายานที่มีรากฐานมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในอินเดียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช คำว่า “เซ็น” มาจากคำสันสกฤต ธยาน (dhyana) ซึ่งแปลว่าการทำสมาธิ และสะท้อนถึงแก่นของนิกายนี้ที่เน้นการปฏิบัติสมาธิเพื่อเข้าถึงการตรัสรู้โดยตรง แม้ว่านิกายเซ็นในรูปแบบที่ชัดเจนจะพัฒนาขึ้นในจีนในช่วงศตวรรษที่ 5-6 แต่จุดกำเนิดของแนวคิดและการปฏิบัติที่เป็นรากฐานของเซ็นสามารถสืบย้อนไปถึงอินเดียในยุคแรกของพุทธศาสนา บทความนี้จะสำรวจจุดกำเนิดของนิกายเซ็นในอินเดียอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นไปที่บริบททางประวัติศาสตร์ ปรัชญา และการปฏิบัติในช่วงพุทธศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราชถึงพุทธศตวรรษที่ 1 ครอบคลุมประมาณ 1,500 คำ พร้อมการอ้างอิงจากแหล่งภาษาอังกฤษและภาษาไทย

zen symbol
zen symbol

บริบททางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดีย

พุทธศาสนากำเนิดขึ้นในอินเดียตอนเหนือในช่วงราว 563-483 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ บรรลุการตรัสรู้และกลายเป็นพระพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์เน้นหนทางสู่การพ้นทุกข์ผ่าน มรรคมีองค์แปด ซึ่งประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ในจำนวนนี้ การปฏิบัติสมาธิ (สมาธิ) มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะ ฌาน (jhana) ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่สงบและมุ่งมั่นจากการฝึกสมาธิ คำว่า ฌาน ในภาษาบาลีมีความหมายเดียวกับ ธยาน ในภาษาสันสกฤต ซึ่งต่อมากลายเป็นรากศัพท์ของคำว่า “เซ็น” ในภาษาญี่ปุ่น

ในช่วงแรก พุทธศาสนาเป็นขบวนการปฏิรูปที่ท้าทายระบบวรรณะและพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ โดยเน้นการปฏิบัติส่วนบุคคลและประสบการณ์ตรงมากกว่าการยึดติดกับคัมภีร์เวทหรือการบูชาเทพเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่า การตรัสรู้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถบรรลุได้ผ่านการฝึกฝนจิตใจและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ หลักการนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญของนิกายเซ็น ซึ่งให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ในขณะปัจจุบันและการก้าวข้ามความยึดติดในแนวคิดหรือคำสอนที่เป็นรูปแบบ

ตามแหล่งข้อมูลภาษาไทย เช่น งานของพระธรรมโกศาจารย์ (2559) พุทธศาสนาในยุคแรกเน้นการปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนา และ สมถะ ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบและเกิดปัญญา การปฏิบัติเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการทำสมาธิแบบ ซาเซ็น (นั่งสมาธิ) ในนิกายเซ็นในเวลาต่อมา

ตำนานเทศนาดอกไม้: จุดเริ่มต้นของเซ็น

หนึ่งในเรื่องราวที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนิกายเซ็นคือเหตุการณ์ที่เรียกว่า เทศนาดอกไม้ (Flower Sermon) ซึ่งปรากฏในคัมภีร์และตำนานของนิกายเซ็น ตามตำนานนี้ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นแสดงธรรมต่อหน้าสาวกจำนวนมากที่เขาคิชฌกูฎ (Vulture Peak) แทนที่จะเทศนาด้วยคำพูด พระองค์ทรงยกดอกบัวขึ้นและทรงนิ่งเงียบ สาวกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมาย แต่พระมหากัสสปะ (Mahākāśyapa) ยิ้มด้วยความเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการสื่อ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ข้าพเจ้ามีธรรมอันล้ำเลิศ ถ่ายทอดโดยไม่ต้องใช้คำพูด และข้าพเจ้ามอบธรรมนี้แก่มหากัสสปะ”

เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดกำเนิดของแนวคิด เกียวเกะ เบ็ตสึเด็น (kyōge betsuden) หรือ “การถ่ายทอดแยกต่างหากนอกคำสอน” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของนิกายเซ็นที่เน้นการถ่ายทอดธรรมจากใจสู่ใจโดยไม่ต้องพึ่งพาคัมภีร์หรือคำพูด แม้ว่าเรื่องราวนี้จะมีลักษณะเป็นตำนานและอาจถูกแต่งขึ้นในช่วงหลังเพื่อสนับสนุนปรัชญาของนิกายเซ็น แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของประสบการณ์ตรงและการตระหนักรู้โดยไม่ต้องอาศัยภาษา

ตามงานของ Dumoulin (2005) ตำนานเทศนาดอกไม้ปรากฏในคัมภีร์ของนิกายฉาน (Chan) ในจีนช่วงศตวรรษที่ 10 ซึ่งบ่งชี้ว่าตำนานนี้อาจถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยืนยันความเป็นเอกลักษณ์ของนิกายเซ็นในฐานะนิกายที่เน้นการปฏิบัติมากกว่าคำสอนในคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม ตำนานนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของแก่นแท้ของเซ็นที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายและการสื่อสารที่เกินกว่าคำพูด

อิทธิพลของปรัชญามหายาน

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 1-2 พุทธศาสนาในอินเดียเริ่มแบ่งออกเป็นหลายนิกาย โดยเฉพาะนิกาย เถรวาท และ มหายาน นิกายมหายานเน้นแนวคิดเรื่อง โพธิสัตว์ ซึ่งเป็นผู้ที่มุ่งบรรลุการตรัสรู้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และให้ความสำคัญกับแนวคิด ศูนยตา (ความว่างเปล่า) ซึ่งพัฒนาโดยพระนาคารชุน (Nāgārjuna) ในปรัชญามัธยมิกะ (Madhyamaka)

แนวคิดเรื่องศูนยตา ซึ่งระบุว่าทุกสิ่งปราศจากตัวตนถาวรและเป็นเพียงการปรากฏขึ้นชั่วคราวจากเหตุและปัจจัย มีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาของนิกายเซ็น โดยเฉพาะในแง่ของการก้าวข้ามความยึดติดในแนวคิดแบบทวินิยม (เช่น ดี-เลว, มี-ไม่มี) คัมภีร์ ปรัชญาปารมิตา (Prajñāpāramitā Sūtras) เช่น สุตรหัวใจ (Heart Sūtra) ซึ่งกล่าวว่า “รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป” กลายเป็นรากฐานปรัชญาของเซ็นที่เน้นการตระหนักถึงความไม่แยกจากกันของสรรพสิ่ง

ตามแหล่งข้อมูลภาษาไทย เช่น งานของวัดปากน้ำ ญี่ปุ่น (2560) คัมภีร์ปรัชญาปารมิตามีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวคิดของนิกายเซ็น โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติที่มุ่งสู่การตระหนักรู้ถึงความว่างเปล่าและการปล่อยวางความยึดติดในตัวตน นอกจากนี้ การปฏิบัติสมาธิในนิกายมหายานยังเน้นการพัฒนา สมาธิ และ ปัญญา ร่วมกัน ซึ่งเป็นรากฐานของการปฏิบัติ ซาเซ็น ในนิกายเซ็น

การปฏิบัติสมาธิในพุทธศาสนาอินเดียยุคแรก

การปฏิบัติสมาธิในพุทธศาสนาอินเดียยุคแรกมีหลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ สมถะ และ วิปัสสนา การปฏิบัติสมถะมุ่งพัฒนาความสงบของจิตใจผ่านการเพ่งอารมณ์ เช่น การกำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) หรือการเพ่งกสิณ ส่วนวิปัสสนามุ่งพัฒนาปัญญาโดยการพิจารณาความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ของสรรพสิ่ง

ตามงานของ Suzuki (1956) การปฏิบัติสมาธิในพุทธศาสนาอินเดียยุคแรกเป็นรากฐานของ ซาเซ็น ในนิกายเซ็น โดยเฉพาะการกำหนดลมหายใจและการนั่งสมาธิในท่าที่มั่นคงเพื่อให้จิตสงบและตื่นรู้ การปฏิบัติเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านนิกายมหายานและต่อมาได้รับการพัฒนาในจีนโดยพระโพธิธรรม ซึ่งเน้นการนั่งสมาธิแบบ พีฉาน (นั่งหันหน้าเข้าหากำแพง)

นอกจากนี้ การปฏิบัติในพุทธศาสนาอินเดียยุคแรกยังเน้นความสำคัญของ สติ (mindfulness) ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ในขณะปัจจุบันโดยไม่ยึดติดกับอดีตหรืออนาคต แนวคิดนี้กลายเป็นหัวใจของการปฏิบัติเซ็น โดยเฉพาะในนิกายโซโต (Soto Zen) ที่เน้น ชิคันทาซะ (Shikantaza) หรือการนั่งสมาธิโดยปราศจากเป้าหมาย

บทบาทของพระมหากัสสปะและการถ่ายทอดธรรม

พระมหากัสสปะมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของนิกายเซ็นในฐานะผู้รับการถ่ายทอดธรรมจากพระพุทธเจ้าในเหตุการณ์เทศนาดอกไม้ ตามคัมภีร์พุทธศาสนา พระมหากัสสปะเป็นหนึ่งในสาวกที่โดดเด่นด้านการปฏิบัติสมาธิและความมัธยัสถ์ ท่านเป็นผู้นำในการจัดประชุมสังคายนาครั้งแรกหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพื่อรวบรวมคำสอนของพระองค์

ในบริบทของนิกายเซ็น พระมหากัสสปะถือเป็น “ปฐมปราชญ์” (First Patriarch) ในสายการถ่ายทอดธรรมของนิกายเซ็น ซึ่งต่อมาถูกสืบทอดต่อไปยังพระอานนท์และพระภิกษุรุ่นต่อ ๆ มา จนถึงพระโพธิธรรมในจีน ตามงานของ Hershock (2014) การเน้นบทบาทของพระมหากัสสปะในนิกายเซ็นสะท้อนถึงความสำคัญของการถ่ายทอดธรรมจากครูสู่ศิษย์ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของนิกายนี้

อิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อเซ็น

นอกเหนือจากคำสอนของพระพุทธเจ้า วัฒนธรรมและปรัชญาอินเดียในสมัยนั้นยังมีอิทธิพลต่อรากฐานของนิกายเซ็น ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่อง โยคะ และการฝึกควบคุมจิตใจในคัมภีร์ โยคสูตร ของปตัญชลี มีความคล้ายคลึงกับการปฏิบัติสมาธิในพุทธศาสนา โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาความสงบและการตระหนักรู้

นอกจากนี้ ลัทธิอุปนิษัท (Upanishads) ซึ่งเน้นการค้นหาความจริงสูงสุดผ่านการใคร่ครวญและการตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง ก็มีอิทธิพลต่อแนวคิดของนิกายมหายานและต่อมาในนิกายเซ็น โดยเฉพาะในแง่ของการก้าวข้ามความแยกจากกันระหว่างตัวตนและจักรวาล

นิกายเซนในจีน

การพัฒนาในจีนการกำเนิดของนิกายฉาน

นิกายฉาน (Chan Buddhism) เป็นจุดเริ่มต้นของนิกายเซ็นในรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งพัฒนาขึ้นในประเทศจีนระหว่างศตวรรษที่ 5 ถึง 9 ถือเป็นการต่อยอดจากรากฐานของพุทธศาสนามหายานที่มาจากอินเดีย คำว่า “ฉาน” มาจากคำสันสกฤต ธยาน (dhyana) หรือ ฌาน ในภาษาสันสกฤติ ซึ่งหมายถึงการทำสมาธิ และสะท้อนถึงการเน้นการปฏิบัติสมาธิเป็นหนทางสู่การตรัสรู้ นิกายฉานมีเอกลักษณ์จากการถ่ายทอดธรรมโดยตรงจากครูสู่ศิษย์ การใช้โกอัน (koans) และแนวคิดการตรัสรู้อย่างฉับพลัน (ตันอู๋) บทความนี้จะสำรวจการพัฒนาของนิกายฉานในจีน โดยมุ่งเน้นบริบททางประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ และอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน ครอบคลุมประมาณ 1,200 คำ พร้อมอ้างอิงจากแหล่งภาษาอังกฤษและภาษาไทย

บริบททางประวัติศาสตร์ในจีน

พุทธศาสนาเริ่มแพร่กระจายจากอินเดียสู่จีนในช่วงศตวรรษที่ 1 ผ่านเส้นทางสายไหม ในช่วงราชวงศ์ฮั่น (206 ก่อนคริสต์ศักราช–220) พุทธศาสนาได้รับการยอมรับในหมู่ชนชั้นสูงและนักปราชญ์ แต่ยังคงเป็นศาสนาต่างชาติที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมจีน ซึ่งมีรากฐานจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ตามงานของ Hershock (2014) การแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน โดยพระภิกษุเช่น กุมารชีวะ (Kumarajiva) ในศตวรรษที่ 4 ช่วยให้พุทธศาสนาได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะคัมภีร์มหายาน เช่น สุตราปรัชญาปารมิตา และ สุตราดอกบัว (Lotus Sutra)

ในช่วงราชวงศ์เหนือ-ใต้ (420–589) พุทธศาสนาเริ่มฝังรากในสังคมจีน แต่เน้นการศึกษาในคัมภีร์และพิธีกรรมมากกว่าการปฏิบัติสมาธิ การมาถึงของพระโพธิธรรม (Bodhidharma) ในศตวรรษที่ 5 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การกำเนิดของนิกายฉาน ซึ่งให้ความสำคัญกับการนั่งสมาธิและประสบการณ์ตรงมากกว่าการยึดติดกับคัมภีร์

พระโพธิธรรม: ปฐมปราชญ์ของนิกายฉาน

พระโพธิธรรม หรือ ต๋าหมอ ในภาษาจีน หรือ ตั๊กม้อ (ที่คนไทยรู้จัก) เป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งนิกายฉาน ตามตำนาน พระโพธิธรรมเดินทางจากอินเดียตอนใต้ (อาจเป็นราชวงศ์ปัลลวะ) มาถึงจีนในช่วงราวปี 520 และตั้งรกรากที่วัดเส้าลินในมณฑลเหอหนาน โพธิธรรมสอนการปฏิบัติที่เรียกว่า พีฉาน (wall-gazing meditation) ซึ่งเป็นการนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพงเป็นเวลานานเพื่อพัฒนาความสงบและตระหนักถึงธรรมชาติแท้ของจิต

ตามแหล่งข้อมูลภาษาไทย เช่น งานของพระธรรมโกศาจารย์ (2559) โพธิธรรมเน้นหลักการ “มองเห็นธรรมชาติแท้ของตน” (เจี้ยนซิง) และสอนว่าการตรัสรู้ไม่ต้องพึ่งพาคัมภีร์หรือพิธีกรรม แต่เกิดจากการฝึกฝนจิตใจโดยตรง คำสอนของโพธิธรรมสรุปในบทกวีสี่ประโยคที่กล่าวว่า:

  • การถ่ายทอดแยกต่างหากนอกคำสอน (เกียวเกะ เบ็ตสึเด็น)

  • ไม่ยึดติดกับตัวอักษร (ฟู่ลี่เหวินจื้อ)

  • ชี้ตรงสู่จิตของมนุษย์ (จื้อจี้เหรินซิน)

  • มองเห็นธรรมชาติแท้และบรรลุความเป็นพุทธะ (เจี้ยนซิงเฉิงโฝ)

โพธิธรรมถ่ายทอดธรรมต่อพระหุ่ยเค่อ (Huike) ซึ่งกลายเป็นปราชญ์องค์ที่สองของนิกายฉาน เรื่องราวของหุ่ยเค่อที่ตัดแขนเพื่อแสดงความมุ่งมั่นต่อการศึกษาเป็นตำนานที่เน้นความทุ่มเทของผู้ปฏิบัติในนิกายฉาน

การพัฒนาในช่วงราชวงศ์ถัง

นิกายฉานเริ่มเจริญรุ่งเรืองในช่วงราชวงศ์ถัง (618–907) ซึ่งถือเป็นยุคทองของพุทธศาสนาในจีน สังคมในยุคนี้มีความมั่นคงและเปิดกว้างต่อการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทำให้พุทธศาสนา โดยเฉพาะนิกายฉาน ได้รับการสนับสนุนจากทั้งราชสำนักและประชาชน ตามงานของ Dumoulin (2005) นิกายฉานในยุคนี้พัฒนาการปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การใช้โกอัน (คำถามหรือเรื่องราวที่ขัดแย้งเพื่อกระตุ้นการตรัสรู้) และการเน้นการถ่ายทอดธรรมจากครูสู่ศิษย์โดยตรง

ในช่วงนี้ นิกายฉานแบ่งออกเป็นหลายสำนัก โดยมีสองสายหลักคือ สำนักเหนือ และ สำนักใต้ สำนักเหนือ นำโดยพระเซินซิ่ว (Shenxiu) สอนว่าการตรัสรู้ต้องเกิดจากการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป (เจี้ยนอู๋) โดยเปรียบจิตใจเหมือนกระจกที่ต้องขัดเกลาให้ปราศจากฝุ่น ในทางกลับกัน สำนักใต้ นำโดยพระหุ่ยเหนิง (Huineng) เน้นการตรัสรู้อย่างฉับพลัน (ตันอู๋) และสอนว่าจิตใจมีธรรมชาติบริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขัดเกลา

พระหุ่ยเหนิง: ผู้ปฏิรูปนิกายฉาน

พระหุ่ยเหนิง (638–713) ปราชญ์องค์ที่หกของนิกายฉาน เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้สำนักใต้กลายเป็นสายหลักของนิกายฉาน ตามคัมภีร์ สุตรปรัชญาหกประตู (Platform Sutra) หุ่ยเหนิงเป็นชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือจากมณฑลกวางตุ้ง แต่มีความเข้าใจในธรรมอย่างลึกซึ้ง เรื่องราวของหุ่ยเหนิงที่เอาชนะการแข่งขันแต่งกวีกับเซินซิ่วเพื่อรับตำแหน่งปราชญ์องค์ที่หกเป็นตำนานที่มีชื่อเสียง บทกวีของหุ่ยเหนิงที่ว่า “เดิมทีไม่มีสิ่งใด ฝุ่นจะยึดเกาะที่ใดได้” สะท้อนแนวคิดว่าจิตใจบริสุทธิ์โดยธรรมชาติและไม่ต้องการการขัดเกลา

หุ่ยเหนิงสอนว่าทุกคนมี ธรรมชาติของพระพุทธเจ้า (Buddha-nature) อยู่ในตัว และการตรัสรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทันทีเมื่อตระหนักถึงความจริงนี้ คำสอนของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนานิกายฉาน โดยเฉพาะในแง่ของการปฏิบัติที่เรียบง่ายและการเน้นประสบการณ์ส่วนตัว สุตรปรัชญาหกประตู ซึ่งบันทึกคำสอนของหุ่ยเหนิง เป็นหนึ่งในคัมภีร์สำคัญของนิกายฉาน และได้รับการแปลและศึกษาในหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย (วัดปากน้ำ ญี่ปุ่น, 2560)

อิทธิพลจากลัทธิเต๋า

นิกายฉานได้รับอิทธิพลอย่างมากจากลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นถิ่นของจีนที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ความเรียบง่าย และการอยู่ร่วมกับ เต๋า (Tao) หรือหนทางแห่งธรรมชาติ ตามงานของ Suzuki (1956) แนวคิดของเต๋า เช่น การไม่ยึดติด (อู๋เว่ย) และการยอมรับความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ มีความสอดคล้องกับปรัชญาของฉานที่เน้นการปล่อยวางและการตระหนักรู้ในขณะปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติสมาธิของฉานมักเน้นการนั่งอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่บังคับจิตใจ ซึ่งคล้ายกับแนวคิด อู๋เว่ย ของเต๋า นอกจากนี้ การใช้ภาษาที่เรียบง่ายและขัดแย้งในโกอันของฉาน เช่น “เสียงของการตบมือด้วยมือเดียวคืออะไร” มีความคล้ายคลึงกับปริศนาในงานเขียนของ จวงจื๊อ นักปราชญ์เต๋า อิทธิพลของเต๋ายังปรากฏในความงามของความเรียบง่ายในวัดฉานและการออกแบบสวนที่เน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติ

การปฏิบัติและวิถีชีวิตในวัดฉาน

วัดฉานในยุคราชวงศ์ถังมีลักษณะที่แตกต่างจากวัดพุทธศาสนานิกายอื่น ๆ โดยเน้นการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและการปฏิบัติสมาธิเป็นศูนย์กลาง ตามงานของ Hershock (2014) พระในวัดฉานมักทำงานเกษตรกรรมและปฏิบัติหน้าที่ประจำวันควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดว่า “การปฏิบัติคือชีวิตประจำวัน” คำกล่าวของครูฉาน เช่น “ตัดไม้ ถือน้ำ นี่คือปาฏิหาริย์” เน้นการค้นหาความหมายในกิจวัตรประจำวัน

การปฏิบัติในวัดฉานรวมถึง ซั่วฉาน (การนั่งสมาธิเป็นกลุ่ม) และ ตั๋วฉาน (การสนทนากับครูเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการปฏิบัติ) โกอันถูกใช้อย่างแพร่หลายในสำนักใต้เพื่อกระตุ้นให้ศิษย์ก้าวข้ามการคิดแบบตรรกะและตระหนักถึงธรรมชาติแท้ของจิต

การแพร่กระจายและมรดกของนิกายฉาน

ในช่วงปลายราชวงศ์ถัง นิกายฉานกลายเป็นนิกายหลักของพุทธศาสนาในจีน และต่อมาแพร่กระจายไปยังเกาหลี (ซอน), เวียดนาม (เทียน), และญี่ปุ่น (เซ็น) ครูฉาน เช่น พระหลินจี้ (Linji) และพระตงชาน (Dongshan) พัฒนาสำนักย่อย เช่น สำนักหลินจี้ (ต่อมาเป็นรินไซในญี่ปุ่น) และสำนักเฉาตง (ต่อมาเป็นโซโตในญี่ปุ่น) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนานิกายเซ็นในภูมิภาคอื่น ๆ

นิกายเซนในญี่ปุ่น

นิกายเซ็น (Zen Buddhism) ซึ่งมีรากฐานจากนิกายฉาน (Chan) ในจีน ได้รับการพัฒนาและปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อแพร่กระจายสู่ญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 12 การมาถึงของนิกายเซ็นในญี่ปุ่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พุทธศาสนากลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นซามูไรและศิลปิน นิกายเซ็นในญี่ปุ่นมีสองสายหลักคือ รินไซ (Rinzai) และ โซโต (Soto) ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติและปรัชญาที่แตกต่างกัน บทความนี้จะสำรวจการแพร่กระจายของนิกายเซ็นสู่ญี่ปุ่น บริบททางประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ และอิทธิพลต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น ครอบคลุมประมาณ 1,200 คำ พร้อมอ้างอิงจากแหล่งภาษาอังกฤษและภาษาไทย

บริบททางประวัติศาสตร์ในญี่ปุ่น

ในช่วงศตวรรษที่ 12 ญี่ปุ่นอยู่ในยุคเฮอัน (794–1185) ซึ่งเป็นช่วงที่พุทธศาสนานิกายต่าง ๆ เช่น นิกายเทนได (Tendai) และนิกายชินงอน (Shingon) มีอิทธิพลในราชสำนัก อย่างไรก็ตาม นิกายเหล่านี้เน้นพิธีกรรมและการศึกษาในคัมภีร์ ซึ่งทำให้บางส่วนของสังคม โดยเฉพาะชนชั้นนักรบที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น รู้สึกว่านิกายเหล่านี้ขาดความเรียบง่ายและการปฏิบัติที่เข้าถึงได้ง่าย ตามงานของ Dumoulin (2005) การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคคามาคุระ (1185–1333) ซึ่งเป็นยุคที่อำนาจการปกครองย้ายจากราชสำนักไปสู่โชกุนและซามูไร เปิดโอกาสให้นิกายใหม่ ๆ เช่น เซ็น ได้รับการยอมรับ

พุทธศาสนานิกายฉานจากจีนเริ่มเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นผ่านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในช่วงราชวงศ์ซ่ง (960–1279) พระภิกษุชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปศึกษาที่จีนนำคำสอนและการปฏิบัติของนิกายฉานกลับมา โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ (ซาเซ็น) และการใช้โกอัน (koans) ซึ่งเหมาะกับจิตวิญญาณของซามูไรที่เน้นวินัยและความเรียบง่าย

พระเอไซและนิกายรินไซ

พระไมโยอัน เอไซ (Myōan Eisai, 1141–1215) เป็นบุคคลสำคัญที่นำนิกายรินไซ (Rinzai Zen) จากจีนมาสู่ญี่ปุ่น เอไซเดินทางไปจีนสองครั้งในช่วงปี 1168 และ 1187 เพื่อศึกษานิกายฉานในสำนักหลินจี้ (Linji) ซึ่งเน้นการใช้โกอันเพื่อกระตุ้นการตรัสรู้อย่างฉับพลัน ตามแหล่งข้อมูลภาษาไทย เช่น งานของวัดปากน้ำ ญี่ปุ่น (2560) เอไซได้รับการถ่ายทอดธรรมจากครูฉานในจีนและนำคำสอนเหล่านี้กลับมาเผยแผ่ในญี่ปุ่น

เมื่อกลับมาญี่ปุ่น เอไซเผชิญกับการต่อต้านจากนิกายเก่า เช่น เทนได ซึ่งมองว่านิกายเซ็นเป็นภัยต่ออำนาจของตน อย่างไรก็ตาม เอไซได้รับการสนับสนุนจากโชกุนมินาโมโตะ โยริโตโมะ และก่อตั้งวัดจูฟูคุจิ (Jufukuji) ในเมืองคามาคุระ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของนิกายรินไซ นอกจากนี้ เอไซยังก่อตั้งวัดเค็นนินจิ (Kenninji) ในเกียวโต ซึ่งผสมผสานการปฏิบัติเซ็นกับพิธีกรรมของนิกายเทนไดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น

รินไซของเอไซเน้นการปฏิบัติที่เข้มข้น โดยใช้โกอัน เช่น “เสียงของการตบมือด้วยมือเดียวคืออะไร” เพื่อท้าทายการคิดแบบตรรกะและนำผู้ปฏิบัติสู่การตระหนักรู้ (ซาโตริ) การปฏิบัติของรินไซเหมาะกับซามูไรที่ชื่นชมความมุ่งมั่นและวินัยของนิกายนี้ ตามงานของ Suzuki (1956) เอไซยังมีบทบาทในการแนะนำพิธีชงชาจากจีน ซึ่งต่อมากลายเป็น ชาโด (พิธีชงชา) อันเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมเซ็น

พระโดเก็นและนิกายโซโต

พระโดเก็น คิเก็น (Dogen Kigen, 1200–1253) เป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่นำนิกายโซโต (Soto Zen) มาสู่ญี่ปุ่น โดเก็นเดินทางไปจีนในปี 1223 และศึกษานิกายฉานในสำนักเฉาตง (Caodong) ภายใต้การนำของครูเทียนถง รูจิ้ง (Tiantong Rujing) โดเก็นได้รับการถ่ายทอดธรรมและกลับมาญี่ปุ่นในปี 1227 โดยนำแนวทางการปฏิบัติที่เน้น ซาเซ็น (นั่งสมาธิ) แบบ ชิคันทาซะ (Shikantaza) ซึ่งเป็นการนั่งสมาธิโดยปราศจากเป้าหมายหรือความคาดหวัง

ตามงานของ Hershock (2014) โดเก็นสอนว่าการปฏิบัติและการตรัสรู้เป็นสิ่งเดียวกัน (ชูโจ อิจินโย) และทุกการกระทำในชีวิตประจำวันสามารถเป็นหนทางสู่การตระหนักรู้ได้ โดเก็นก่อตั้งวัดเอเฮจิ (Eiheiji) ในจังหวัดฟุคุอิ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของนิกายโซโตในญี่ปุ่น งานเขียนของโดเก็น โดยเฉพาะ โชโบเก็นโซ (Shobogenzo) เป็นคัมภีร์ปรัชญาที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติ ธรรมชาติของเวลา และความเป็นจริง

โซโตของโดเก็นแตกต่างจากรินไซตรงที่เน้นการนั่งสมาธิอย่างสงบและการใช้ชีวิตอย่างมีสติมากกว่าการใช้โกอัน การปฏิบัติของโซโตได้รับความนิยมในหมู่ชาวบ้านและเกษตรกร เนื่องจากเข้าถึงได้ง่ายและไม่ต้องการความรู้ในคัมภีร์ ตามแหล่งข้อมูลภาษาไทย (พระธรรมโกศาจารย์, 2559) โซโตของโดเก็นเน้นความสำคัญของการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและการยอมรับทุกขณะของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ

อิทธิพลของนิกายเซ็นในยุคคามาคุระ

ยุคคามาคุระ (1185–1333) เป็นช่วงที่เซ็นกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในหมู่ซามูไร ซามูไรชื่นชมความเรียบง่าย วินัย และความกล้าหาญของเซ็น ซึ่งสอดคล้องกับจรรยาบรรณของพวกเขา (บุชิโด) วัดเซ็นในคามาคุระ เช่น วัดเค็นโชจิ (Kenchoji) และวัดเอ็นกาคุจิ (Engakuji) ได้รับการสนับสนุนจากโชกุนและกลายเป็นศูนย์กลางการฝึกฝนทั้งด้านจิตวิญญาณและศิลปะการต่อสู้

เซ็นยังมีอิทธิพลต่อศิลปะและวัฒนธรรมในยุคนี้ เช่น:

  • พิธีชงชา (ชาโด): พัฒนาจากแนวคิดของเอไซและต่อยอดโดยครูเซ็น เช่น มูราตะ จูโกะ และเซ็นโนะ ริคิว พิธีชงชาเน้นสติ ความเรียบง่าย และการชื่นชมความงามในสิ่งธรรมดา

  • สวนหินเซ็น (คาเรซันซุย): สวนหินที่วัดเรียวอันจิ (Ryoanji) เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่กระตุ้นการใคร่ครวญและความสงบ

  • การเขียนพู่กัน (ชูจิ): การเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันสะท้อนจิตใจที่สงบและมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติเซ็น

ตามงานของ Dumoulin (2005) เซ็นในยุคคามาคุระไม่เพียงเป็นศาสนา แต่ยังเป็นวิถีชีวิตที่หล่อหลอมความคิดและความงามของญี่ปุ่น ศิลปะและพิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเซ็นเน้นความไม่สมบูรณ์ (วาบิ-ซาบิ) และความชั่วครู่ของชีวิต (มุโจ)

การปรับตัวและความท้าทาย

นิกายเซ็นในญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคมญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น การต่อต้านจากนิกายเก่าทำให้เอไซต้องผสมผสานการปฏิบัติเซ็นกับพิธีกรรมของเทนไดในช่วงแรก นอกจากนี้ การที่เซ็นได้รับความนิยมในหมู่ซามูไรทำให้บางครั้งถูกมองว่าเป็นนิกายของชนชั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากโซโตที่เข้าถึงชาวบ้านมากกว่า

ในช่วงยุคคามาคุระ นิกายเซ็นยังต้องแข่งขันกับนิกายใหม่ ๆ เช่น นิกายโจโด (Pure Land) และนิกายนิจิเร็น (Nichiren) ซึ่งเน้นการสวดมนต์และความศรัทธามากกว่าการปฏิบัติสมาธิ อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายและการเน้นประสบการณ์ตรงของเซ็นทำให้ยังคงรักษาความนิยมได้

อ้างอิง

  1. Suzuki, D.T. (1956). An Introduction to Zen Buddhism. New York: Grove Press.

  2. Dumoulin, H. (2005). Zen Buddhism: A History. Bloomington: World Wisdom.

  3. Hershock, P.D. (2014). Chan Buddhism. Honolulu: University of Hawaii Press.

  4. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (2559). พุทธศาสนานิกายเซ็น. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

  5. วัดปากน้ำ ญี่ปุ่น. (2560). ประวัติศาสตร์และปรัชญาของนิกายเซ็น. สืบค้นจาก http://www.watpaknam.jp/zen-history.