การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยอัตราส่วนทางการเงิน: เครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่
การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเลือกหุ้นที่มีศักยภาพและราคาเหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การใช้อัตราส่วนทางการเงิน ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ 5 ประเภท ได้แก่ P/E, P/S, P/FCF, P/BV และ EV/EBITDA พร้อมทั้งวิธีการใช้งานและตัวอย่างประกอบ

1. P/E (Price to Earnings Ratio)
P/E Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เป็นหนึ่งในอัตราส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการประเมินมูลค่าหุ้น
วิธีคำนวณ:
P/E = มูลค่าตลาดของบริษัท / กำไรสุทธิ
การใช้งาน:
P/E Ratio บอกให้เรารู้ว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินเท่าไรสำหรับกำไร 1 บาทของบริษัท เหมาะสำหรับประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่มีกำไรอย่างสม่ำเสมอ
- ถ้า P/E < ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาถูก
- ถ้า P/E > ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาแพง
ตัวอย่าง:
สมมติว่าบริษัท A มีราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) 5 บาท P/E ของบริษัท A = 100 / 5 = 20
หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 20 บาทสำหรับทุกๆ 1 บาทของกำไรบริษัท
ถ้าค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 15 แสดงว่าหุ้นของบริษัท A อาจมีราคาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ข้อควรระวัง:
- P/E ไม่เหมาะกับบริษัทที่ขาดทุนหรือมีกำไรผันผวน
- ควรเปรียบเทียบ P/E กับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
2. P/S (Price to Sales Ratio)
P/S Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อยอดขาย เป็นอัตราส่วนที่มีประโยชน์มากสำหรับการประเมินมูลค่าของบริษัทที่ยังไม่มีกำไร
วิธีคำนวณ:
P/S = มูลค่าตลาดของบริษัท / ยอดขาย
การใช้งาน:
P/S Ratio เหมาะสำหรับประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทเติบโตที่กำลังขาดทุนหรือหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้อาจยังไม่มีกำไร แต่มียอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
- ถ้า P/S < ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาถูก
- ถ้า P/S > ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาแพง
ตัวอย่าง:
สมมติว่าบริษัท B เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน e-commerce ที่ยังไม่มีกำไร แต่มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว
- มูลค่าตลาดของบริษัท B = 1,000 ล้านบาท
- ยอดขายประจำปี = 100 ล้านบาท
P/S ของบริษัท B = 1,000 / 100 = 10
หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 10 บาทสำหรับทุกๆ 1 บาทของยอดขายบริษัท
ถ้าค่าเฉลี่ย P/S ของอุตสาหกรรม e-commerce อยู่ที่ 5 แสดงว่าหุ้นของบริษัท B อาจมีราคาแพงเกินไป แต่อาจสะท้อนถึงความคาดหวังในการเติบโตในอนาคต
ข้อควรระวัง:
- P/S ไม่ได้คำนึงถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
- ควรใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3. P/FCF (Price to Free Cash Flow)
P/FCF Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกระแสเงินสดอิสระ เป็นอัตราส่วนที่ให้ความสำคัญกับความสามารถในการสร้างเงินสดของบริษัท
วิธีคำนวณ:
P/FCF = มูลค่าตลาดของบริษัท / (กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน – รายจ่ายในการลงทุน)
การใช้งาน:
P/FCF Ratio เหมาะสำหรับประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกและมีกระแสเงินสดที่ไม่ผันผวน อัตราส่วนนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าบริษัทสามารถสร้างเงินสดได้มากน้อยเพียงใดหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการลงทุนแล้ว
- ถ้า P/FCF < ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาถูก
- ถ้า P/FCF > ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาแพง
ตัวอย่าง:
สมมติว่าบริษัท C เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค
- มูลค่าตลาดของบริษัท C = 10,000 ล้านบาท
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน = 1,500 ล้านบาท
- รายจ่ายในการลงทุน = 500 ล้านบาท
Free Cash Flow = 1,500 – 500 = 1,000 ล้านบาท P/FCF ของบริษัท C = 10,000 / 1,000 = 10
หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 10 บาทสำหรับทุกๆ 1 บาทของกระแสเงินสดอิสระที่บริษัทสร้างได้
ถ้าค่าเฉลี่ย P/FCF ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 15 แสดงว่าหุ้นของบริษัท C อาจมีราคาถูกเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ข้อควรระวัง:
- กระแสเงินสดอิสระอาจผันผวนได้ในบางอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง
- ควรพิจารณาแนวโน้มของ P/FCF ในหลายๆ ปีเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
4. P/BV (Price to Book Value)
P/BV Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี เป็นอัตราส่วนที่เปรียบเทียบราคาตลาดของหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
วิธีคำนวณ:
P/BV = มูลค่าตลาดของบริษัท / (สินทรัพย์ – หนี้สิน)
การใช้งาน:
P/BV Ratio เหมาะสำหรับประเมินมูลค่าหุ้นธุรกิจและหุ้นของบริษัทที่มีสินทรัพย์มาก เช่น กลุ่มการเงินและธนาคาร อัตราส่วนนี้ช่วยให้เราเห็นว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินมากน้อยเพียงใดสำหรับสินทรัพย์สุทธิของบริษัท
- ถ้า P/BV < 1 = หุ้นราคาถูก (อาจ)
- ถ้า P/BV > 1 = หุ้นราคาแพง (อาจ)
ตัวอย่าง:
สมมติว่าธนาคาร D มีข้อมูลดังนี้
- มูลค่าตลาดของธนาคาร = 100,000 ล้านบาท
- สินทรัพย์รวม = 500,000 ล้านบาท
- หนี้สินรวม = 450,000 ล้านบาท
มูลค่าทางบัญชี = 500,000 – 450,000 = 50,000 ล้านบาท P/BV ของธนาคาร D = 100,000 / 50,000 = 2
หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 2 บาทสำหรับทุกๆ 1 บาทของมูลค่าทางบัญชีของธนาคาร
ถ้าค่าเฉลี่ย P/BV ของอุตสาหกรรมธนาคารอยู่ที่ 1.5 แสดงว่าหุ้นของธนาคาร D อาจมีราคาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ข้อควรระวัง:
- P/BV อาจไม่เหมาะสมสำหรับบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเป็นส่วนใหญ่ เช่น บริษัทเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์
- ควรพิจารณาอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ควบคู่ไปด้วย เพราะบริษัทที่มี ROE สูงมักจะมี P/BV สูงตามไปด้วย
5. EV/EBITDA (Enterprise Value to EBITDA)
EV/EBITDA เป็นอัตราส่วนที่เปรียบเทียบมูลค่ากิจการกับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
วิธีคำนวณ:
EV/EBITDA = (มูลค่าตลาดของบริษัท + หนี้สินรวม – เงินสด) / (กำไรจากการดำเนินงาน + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย)
การใช้งาน:
EV/EBITDA เหมาะสำหรับประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูง เช่น กลุ่มโทรคมนาคม หรือกลุ่มโรงแรม อัตราส่วนนี้ช่วยให้เราเปรียบเทียบบริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนและอัตราภาษีที่แตกต่างกันได้ดีขึ้น
- ถ้า EV/EBITDA < ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาถูก
- ถ้า EV/EBITDA > ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม = หุ้นราคาแพง
ตัวอย่าง:
สมมติว่าบริษัท E เป็นบริษัทโทรคมนาคมที่มีข้อมูลดังนี้
- มูลค่าตลาดของบริษัท = 50,000 ล้านบาท
- หนี้สินรวม = 30,000 ล้านบาท
- เงินสด = 5,000 ล้านบาท
- กำไรจากการดำเนินงาน = 8,000 ล้านบาท
- ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย = 2,000 ล้านบาท
EV = 50,000 + 30,000 – 5,000 = 75,000 ล้านบาท EBITDA = 8,000 + 2,000 = 10,000 ล้านบาท EV/EBITDA ของบริษัท E = 75,000 / 10,000 = 7.5
หมายความว่ามูลค่ากิจการของบริษัท E เท่ากับ 7.5 เท่าของ EBITDA
ถ้าค่าเฉลี่ย EV/EBITDA ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอยู่ที่ 10 แสดงว่าหุ้นของบริษัท E อาจมีราคาถูกเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ข้อควรระวัง:
- EV/EBITDA ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างในการลงทุนระหว่างบริษัท
- ควรพิจารณาแนวโน้มของ EBITDA และอัตราการเติบโตควบคู่ไปด้วย
การใช้อัตราส่วนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้อัตราส่วนทางการเงินในการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการวิเคราะห์การลงทุน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้:
- เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม: อัตราส่วนทางการเงินจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
- พิจารณาแนวโน้ม: นอกจากค่าปัจจุบัน ควรดูแนวโน้มของอัตราส่วนในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเข้าใจทิศทางการเติบโตของบริษัท
- ใช้หลายอัตราส่วนประกอบกัน: แต่ละอัตราส่วนมีข้อดีและข้อจำกัด การใช้หลายอัตราส่วนจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
- คำนึงถึงปัจจัยเชิงคุณภาพ: อัตราส่วนทางการเงินเป็นเพียงตัวเลข ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น คุณภาพของผู้บริหาร โมเดลธุรกิจ และแนวโน้มอุตสาหกรรมประกอบด้วย
- ระวังข้อจำกัด: แต่ละอัตราส่วนมีข้อจำกัด เช่น P/E ไม่เหมาะกับบริษัทที่ขาดทุน หรือ P/BV อาจไม่เหมาะกับบริษัทเทคโนโลยีที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเป็นหลัก
- ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน: ใช้ข้อมูลทางการเงินล่าสุดในการคำนวณอัตราส่วน และปรับปรุงการวิเคราะห์เมื่อมีข้อมูลใหม่
ตัวอย่างการใช้อัตราส่วนทางการเงินในการตัดสินใจลงทุน
สมมติว่าคุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้นของบริษัท XYZ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีข้อมูลดังนี้:
- ราคาหุ้นปัจจุบัน: 50 บาท
- กำไรต่อหุ้น (EPS): 3 บาท
- ยอดขายต่อหุ้น: 20 บาท
- มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น: 25 บาท
- Free Cash Flow ต่อหุ้น: 2.5 บาท
คำนวณอัตราส่วนทางการเงิน:
- P/E = 50 / 3 = 16.67
- P/S = 50 / 20 = 2.5
- P/BV = 50 / 25 = 2
- P/FCF = 50 / 2.5 = 20
สมมติว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมีดังนี้:
- P/E เฉลี่ย: 18
- P/S เฉลี่ย: 2.2
- P/BV เฉลี่ย: 2.5
- P/FCF เฉลี่ย: 22
การวิเคราะห์:
- P/E ของ XYZ (16.67) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (18) เล็กน้อย แสดงว่าหุ้นอาจมีราคาถูกเมื่อเทียบกับกำไร
- P/S ของ XYZ (2.5) สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (2.2) เล็กน้อย แสดงว่าหุ้นอาจมีราคาแพงเมื่อเทียบกับยอดขาย
- P/BV ของ XYZ (2) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (2.5) แสดงว่าหุ้นอาจมีราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี
- P/FCF ของ XYZ (20) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (22) เล็กน้อย แสดงว่าหุ้นอาจมีราคาถูกเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดอิสระ
สรุป: จากการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเบื้องต้น หุ้นของบริษัท XYZ ดูเหมือนจะมีราคาที่สมเหตุสมผลหรืออาจจะถูกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น:
- แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต
- คุณภาพของผู้บริหารและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
- สภาพแวดล้อมทางการแข่งขันในอุตสาหกรรม
- ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ

บทสรุป
การใช้อัตราส่วนทางการเงินในการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุน ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบหุ้นต่างๆ และประเมินความน่าสนใจของการลงทุนได้อย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนที่ดีควรพิจารณาทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพประกอบกัน
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจอัตราส่วนพื้นฐานอย่าง P/E และ P/BV ก่อน จากนั้นค่อยๆ เรียนรู้อัตราส่วนที่ซับซ้อนขึ้นเช่น EV/EBITDA เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น การฝึกฝนวิเคราะห์หุ้นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาทักษะและความเข้าใจในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ