ข้อมูลทั่วไป
ชื่อหนังสือ : เปลี่ยนสันดาน สร้างอิสรภาพทางการเงิน
ชื่อผู้แต่ง : กวี ชูกิจเกษม
สำนักพิมพ์ : Nation Books
ปีที่พิมพ์ : 2563
จำนวนหน้า : 195 หน้า
หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน
สารบัญ
- บทที่ 1 อิสรภาพทางการเงินเท้จริงคืออะไร
- บทที่ 2 บันได 5 ขั้นสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืน
- บทที่ 3 ขั้นที่ 1 สร้างสันดานดีเพื่ออิสรภาพทางการเงิน
- บทที่ 4 ขั้นที่ 2 สร้างเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน
- บทที่ 5 ขั้นที่ 3 สร้างความรู้ที่เหนือกว่า
- บทที่ 6 ขั้นที่ 4 สร้างวินัยและความอดทนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน
- บทที่ 7 ขั้นที่ 5 สร้างชีวิตหลังพบอิสรภาพทางการเงิน
- บทที่ 8 ลงมือปลูกต้นไม้ เริ่มเปลี่ยนสันดานตั้งแต่วันนี้
- บทที่ 9 บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป
สรุปข้อคิดจากหนังสือ
หลายคนใฝ่ฝันถึงความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงิน แต่กลับมีเพียง 5% ของคนทั้งโลกเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้จริง หนังสือ “เปลี่ยนสันดาน สร้างอิสรภาพทางการเงิน” ของคุณกวี ชูกิจเกษม ได้ชี้ให้เห็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถก้าวไปถึงจุดหมายนั้นได้ นั่นก็คือ “สันดาน” หรือธรรมชาติเดิมของมนุษย์ ที่มักจะติดกับดักนิสัยการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยและก่อหนี้สินล้นพ้นตัว จนทำให้แม้จะมีรายได้ดีแค่ไหน ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากวังวนความยากจนและมีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริงได้ และเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ผู้เขียนจึงได้แนะนำ “บันได 5 ขั้น” ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนสันดานของเราทีละขั้น เพื่อนำพาให้ไปสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด
1. อิสรภาพทางการเงินคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและมีความสุข ไม่ใช่การรวยเงินล้านหรือมีทรัพย์สินมหาศาล
ผู้เขียนกล่าวว่า อิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายความว่า “รวย” แต่หมายถึง “พอใจในสิ่งที่เรามีและมีพอจะใช้ไปได้ชั่วชีวิต” ซึ่งการมีเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างสบายและมีความสุข การมีเงินล้านหรือร่ำรวยมหาศาลไม่ได้การันตีอิสรภาพทางการเงินเสมอไป เพราะความรวยนั้นมักจะไม่มีคำว่า “พอ” คนรวยหลายคนกลับมีภาระหนี้สินมหาศาล ต้องดิ้นรนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นไปอีก วนเวียนอยู่ในวังวนไม่รู้จบ ในทางกลับกัน คนที่มีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง คือคนที่รู้จักความพอดี มีเป้าหมายการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีคุณค่า และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมี โดยไม่เป็นทาสของเงินทองและวัตถุนิยม
นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างอิสรภาพทางการเงิน ที่เราต้องปรับเปลี่ยนความคิดและมุมมองที่มีต่อความหมายของความมั่งคั่งก่อนเป็นอันดับแรก
2. คน 95% ของโลกยังไม่สามารถพบอิสรภาพทางการเงิน เพราะมีสันดานความเป็นผู้บริโภคอยู่ในตัว
ผู้เขียนชี้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์คือการเป็นผู้บริโภคที่ไม่เคยพอ เมื่อมีเงินเพิ่มขึ้นก็ใช้จ่ายมากขึ้น จนเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ทำให้ไม่สามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักเศรษฐศาสตร์ หรือเจ้าของสินค้าและบริการ ต่างก็พยายามสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้คนกลายเป็นสังคมบริโภคนิยมมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต แต่การบริโภคที่เกินพอดีนี้เองที่ทำให้ผู้คนจมอยู่กับภาวะหนี้สินท่วมหัว ขาดเงินออม จนเมื่อเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจก็ล้มละลายได้ง่าย ไม่มีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้เงินและบริโภคให้พอดี รู้จักเก็บออม และหาโอกาสสร้างสินทรัพย์ที่งอกเงยในยามที่เศรษฐกิจผันผวน จึงเป็นการปรับสันดานครั้งใหญ่ ที่หากทำได้ก็จะนำไปสู่อิสรภาพทางการเงินที่มั่นคงได้
3. บันได 5 ขั้นแรกคือการเปลี่ยนสันดานจากผู้บริโภคมาเป็นผู้ออม
การเปลี่ยนสันดานจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยมาเป็นการบริโภคแบบพอเพียงนั้น ต้องอาศัยแรงกาย แรงใจ และความอดทนอย่างมาก แต่นี่คือบันไดขั้นแรกที่สำคัญที่สุดในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน ในการวางแผนการเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีชีวิตจากการเป็น “ผู้บริโภค” มาเป็น “ผู้ออม” ให้ได้ก่อน โดยต้องหักห้ามใจไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัว เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างพอเพียง การขจัดนิสัยการบริโภคเกินพอดีและหันมาออมเงินนั้นอาจจะทำได้ยากในช่วงแรก ต้องอาศัยความอดทนและวินัยอย่างมาก แต่ต้องบอกตัวเองว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้องและคุ้มค่าที่จะเดิน หากกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ในจุดนี้ได้ ก็เหมือนกับได้ปีนบันไดขึ้นมาสู่ขั้นที่สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในการสร้างอิสรภาพทางการเงินในลำดับต่อไป
4. บันไดข้ันที่ 2 คือการตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจนว่าเราต้องการเงินเท่าไรจึงจะเพียงพอ
เราต้องคำนวณให้ได้ว่าต้องการเกษียณที่อายุเท่าไร ต้องใช้เงินเดือนละเท่าไรหลังเกษียณ จะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี แล้วตั้งเป้าหมายจำนวนเงินที่ต้องเก็บออมเอาไว้ รวมถึงเผื่อเงินสำรองฉุกเฉินด้วย การกำหนดเป้าหมายการเงินที่ชัดเจนเช่นนี้ จะทำให้เรามีแรงผลักดันที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ ไม่ใช่แค่ฝันลมๆแล้งๆ เราจะรู้ว่าต้องเก็บเงินให้ได้เท่าไรต่อเดือนหรือต่อปี และต้องไปให้ถึงภายในกี่ปี
เมื่อทราบเป้าหมายแล้ว ต้องวางแผนการออมและลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ โดยมีการแบ่งสัดส่วนให้เหมาะสม ทั้งเงินสำรองฉุกเฉิน เงินใช้จ่ายหลังเกษียณ และเงินลงทุนระยะยาว เป้าหมายการเงินที่ชัดเจนจะเป็นเข็มทิศชี้นำทางให้เรา ทำให้รู้ว่าทุกวันนี้กำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้สำเร็จในเวลาที่กำหนด
5. บันไดขั้นที่ 3 คือการสร้างความรู้การลงทุนให้เหนือกว่าคนอื่น
เราต้องศึกษาว่าควรซื้อสินทรัพย์ประเภทใดก่อนหลัง ซื้ออย่างไร และจะได้ผลตอบแทนเท่าไร โดยสินทรัพย์ลงทุนนั้นควรสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ก็คือการหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อจะได้นำไปใช้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เราจึงต้องขวนขวายเรียนรู้ให้มากกว่าคนทั่วไป สินทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนมีหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น พันธบัตร ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสียต่างกัน เราต้องเข้าใจลักษณะและความเสี่ยงของแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ รู้ว่าควรซื้อเมื่อไหร่ ซื้ออย่างไร และจะได้ผลตอบแทนเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว เช่น ค่าเช่า ดอกเบี้ย เงินปันผล และมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น
6. บันไดขั้นที่ 4 คือการสร้างวินัยและความอดทนในการออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
เราต้องฝึกวินัยในการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาซื้อสินทรัพย์ลงทุนทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง อดทนรอให้เงินงอกเงยและผลตอบแทนทบต้น ทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
การออมและลงทุนอย่างมีวินัยสม่ำเสมอ เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ประตูอิสรภาพทางการเงินในที่สุด เราต้องฝืนใจเก็บเงินทุกเดือนตามแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน หรือมีเรื่องฉุกเฉินใดๆ เกิดขึ้น ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน เพราะการลงทุนมักจะไม่ได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องอาศัยเวลาให้เงินงอกเงยจากดอกเบี้ยทบต้น เมื่อเวลาผ่านไปนานพอก็จะได้เห็นพลังแห่งการลงทุนอย่างต่อเนื่องว่ามหาศาลเพียงใด วินัยในการออมและลงทุนจะทำให้เป้าหมายการเงินที่ดูเหมือนจะไกลเกินเอื้อม กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในอนาคต แค่เพียงเราทุ่มเททำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมปรับเพิ่มเงินลงทุนตามรายได้ที่เติบโตขึ้นในแต่ละปี
7. บันไดขั้นที่ 5 คือการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีคุณค่าด้วยการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น
เมื่อเราสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้สำเร็จ สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีประโยชน์ต่อสังคม ด้วยการแบ่งปันความรู้และช่วยเหลือผู้อื่นให้พบกับอิสรภาพทางการเงินด้วย
การมีอิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่อย่างเห็นแก่ตัว หรือหยุดพัฒนาตนเอง แต่กลับเป็นโอกาสที่เราจะได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมา เพื่อช่วยเหลือคนรอบข้างและสังคมให้ดีขึ้น วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุนแก่คนอื่นๆ ถ่ายทอดหลักการบันได 5 ขั้นที่เราประสบความสำเร็จมา เพื่อจุดประกายให้ผู้คนลุกขึ้นมาสร้างอิสรภาพทางการเงินด้วยตนเอง
อีกทั้งยังสามารถให้การสนับสนุนทางการเงินแก่มูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาสในสังคม เรามีทรัพยากรพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นความสุขและคุณค่าที่แท้จริงของการมีอิสรภาพทางการเงิน
8. คนเราสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ทุกคน ถ้าเริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้
ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรแล้ว ถ้าเริ่มปรับสันดานตามบันได 5 ขั้นนี้ตั้งแต่วันนี้ ก็จะมีโอกาสบรรลุอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน ขอเพียงความตั้งใจจริงและลงมือทำ
ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับอิสรภาพทางการเงินโดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย ทุกคนล้วนมีจุดเริ่มต้นเท่าเทียมกัน หัวใจสำคัญคือการลงมือลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ก่อน แม้การปรับสันดานจากผู้บริโภคมาเป็นผู้ออมอาจจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่อายุมากแล้ว ที่อาจจะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบเดิมๆ มานาน แต่ถ้ามีความตั้งใจจริง ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ยิ่งคุณเริ่มเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น อย่ารอช้าที่จะเดินบนบันได 5 ขั้นนี้ วันนี้คือวันที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สู่เส้นทางสายใหม่ที่มีอิสรภาพทางการเงินรออยู่ที่ปลายทาง
9. คนไทยมีเงินออมเฉลี่ยเพียง 5,135 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการสร้างอิสรภาพทางการเงิน
หากเก็บเงินเดือนละ 5,135 บาทตั้งแต่อายุ 22 ปี จนถึง 60 ปี จะมีเงินเก็บรวม 2.3 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ย แต่การใช้ชีวิตขั้นต่ำสุดของคนเกษียณไทยต้องใช้เดือนละ 21,236 บาท ดังนั้น เราต้องหาวิธีออมและลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ จากสถิติข้างต้น จะเห็นได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณ แม้จะเก็บเงินมาตลอดชีวิตการทำงาน เนื่องจากมีเงินออมน้อยเกินไปในแต่ละเดือน หากยึดตามหลักการบันได 5 ขั้นของหนังสือเล่มนี้ เราจำเป็นต้องเพิ่มเงินออมต่อเดือนให้มากกว่านี้ และนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยธรรมดา เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินยังอยู่ห่างไกล สำหรับคนไทยจำนวนมากที่มีวินัยการออมในระดับต่ำเช่นนี้ จำเป็นจะต้องปรับตัวเพิ่มเงินออมต่อเดือนให้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น
10. การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ต้องศึกษาให้เข้าใจ
สินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น เงินฝาก พันธบัตร หุ้น ทองคำ ฯลฯ ล้วนให้ผลตอบแทนที่ต่างกันในระยะยาว ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละประเภท เราจึงต้องศึกษาเรียนรู้ให้ดี ก่อนเลือกลงทุนที่เหมาะสม การจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง อีกทั้งยังต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการเงินและระยะเวลาของเราด้วย โดยหลักการแล้ว เราควรกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภท เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และปรับสัดส่วนตามความเหมาะสมของช่วงอายุ ทั้งนี้ ไม่มีสูตรสำเร็จในการลงทุนที่ใช้ได้กับทุกคน ต้องอาศัยการศึกษาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน แล้วปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละคน
11. การลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ไม่มีความรู้
เราสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ โดยให้มืออาชีพช่วยบริหารเงินลงทุนแทนเรา ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี การลงทุนผ่านกองทุนรวม เป็นอีกช่องทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเวลา หรือไม่อยากเสี่ยงลงทุนด้วยตัวเอง เพราะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพคอยวิเคราะห์และคัดเลือกสินทรัพย์ที่น่าสนใจมาลงทุน ตามนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ข้อดีของการลงทุนแบบนี้ คือการได้รับการกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน แต่มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการซื้อหุ้นรายตัว อีกทั้งยังถือเป็นการสะสมความรู้ ประสบการณ์ และวินัยการลงทุนไปในตัว
ทั้งนี้ เราต้องเลือกแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง และติดตามผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ พร้อมปรับเปลี่ยนสัดส่วนเมื่อจำเป็น การมีวินัยในการลงทุนระยะยาวจะช่วยทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
12. วิธีลงทุนแบบ DCA หรือการแบ่งเงินลงทุนเท่าๆกันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทน
การลงทุนในกองทุนหุ้นด้วยการแบ่งเงินลงทุนเท่าๆ กันทุกเดือนแบบ Dollar Cost Averaging จะช่วยให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีโดยมีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนก้อนใหญ่ในคราวเดียว เมื่อตลาดหุ้นผันผวน หลายคนกลัวว่าจะขาดทุนจึงไม่กล้าเข้าไปลงทุน ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ราคาถูก วิธีที่ช่วยลดความกังวลเรื่องจังหวะการลงทุนได้ก็คือการทยอยซื้อทีละน้อยแบบสม่ำเสมอทุกเดือน เรียกว่า Dollar Cost Averaging (DCA) ข้อดีของ DCA คือช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนผิดจังหวะ เพราะเราจะได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ดี ทั้งตอนตลาดขึ้นและตลาดลง โดยไม่ต้องคอยจับจังหวะให้ซื้อถูกขายแพง ซึ่งเป็นเรื่องยากแม้แต่กับนักลงทุนมืออาชีพ สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว โดยกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่แน่นอนในแต่ละเดือน และทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง เพื่อให้ได้อานิสงส์จากการทยอยซื้อนี้อย่างเต็มที่ ใครอดทนทำได้ ก็มีโอกาสบรรลุเป้าหมายการเงินได้ง่ายขึ้น
13. การช่วยเหลือผู้อื่นคือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง และทำให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืน
ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีคุณค่าด้วยการ “ให้” หรือการแบ่งปันความรู้และช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง หลายคนอาจคิดว่าการมีอิสรภาพทางการเงินคือการได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไร้กังวล แต่ผู้เขียนมองว่านั่นเป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ที่ลึกลงไปกว่านั้นคือการได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ที่เรามีให้กับผู้อื่น จึงจะเป็นความสุขที่ยั่งยืน การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้มีเพียงแค่การบริจาคเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้คำปรึกษา แนะนำ เป็นแบบอย่างที่ดี สนับสนุนและให้กำลังใจคนรอบข้าง ให้เขาได้มีโอกาสเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับที่เราได้ทำมาแล้ว ไม่มีความสุขใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเห็นคนที่เราช่วยเหลือประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสุข และเติบโต นี่คือคุณค่าสูงสุดของชีวิตที่เราควรยึดถือ การให้นั้นไม่เคยทำให้เรายากจนลง กลับตรงกันข้าม ยิ่งให้มากเท่าไร ชีวิตเรายิ่งอิ่มเอมและมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น
14. เพียงแค่ลุกขึ้นมาลงมือทำตามแนวทาง 5 ขั้นตอนนี้ ใครก็มีโอกาสมีอิสรภาพทางการเงินได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีพื้นฐานแบบไหน เพียงแค่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อเดินตามบันได 5 ขั้นนี้อย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งคุณก็จะไปถึงจุดหมายของอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน บันได 5 ขั้นที่ผู้เขียนแนะนำมา ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จหรือวิธีลัดที่จะทำให้ร่ำรวยเร็วข้ามคืน แต่เป็นหลักการที่ใครก็สามารถทำตามได้ ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของแต่ละคน ไม่ว่าจะเริ่มต้นเมื่อไร ก็ไม่สายเกินไป แต่ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร ยิ่งมีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น เพราะมีเวลาให้พลังดอกเบี้ยทบต้นทำงาน ผู้ที่อยู่วัยทำงานแล้วก็ยังมีความหวัง เพราะมีรายได้และวุฒิภาวะในการบริหารเงินที่มากกว่า ทุกคนล้วนอยู่บนจุดเริ่มต้นของบันไดขั้นแรกเท่าเทียมกัน จะก้าวไปถึงขั้นสูงสุดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงมือทำของตัวเราเอง แค่เชื่อมั่นและเริ่มต้นวันนี้ ความฝันอิสรภาพทางการเงินไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป
15. หนังสือเล่มนี้นำเสนอหลักการที่เรียบง่ายแต่มีพลังมหาศาล ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตทางการเงินของทุกคนได้
แนวคิดบันได 5 ขั้นสู่อิสรภาพทางการเงินของผู้เขียน เป็นหลักการที่ฟังดูง่าย เข้าใจไม่ยาก แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริง ก็จะปลดล็อคพลังสุดยอดในการสร้างอิสรภาพทางการเงินได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จำกัดเพศ วัย หรือสถานภาพใดๆ ขอแค่มีความมุ่งมั่น หัวใจของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้อยู่ที่ขั้นตอนหรือเทคนิคแนะนำที่แสนจะธรรมดา แต่อยู่ที่การปลุกกระแสความคิดภายในจิตใจให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพื่อพร้อมที่จะรับความรู้และนำไปปฏิบัติจนได้ผล เนื้อหาของหนังสือไม่เพียงแต่กระตุ้นเร้าความอยากรวยอยากมีอิสรภาพทางการเงิน แต่ยังสอนให้เรารู้จักคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตที่เหนือกว่าวัตถุ นั่นคือการได้ช่วยเหลือแบ่งปันผู้อื่น อันเป็นความสุขอีกระดับที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แม้จะเป็นหนังสือขนาดบาง แต่อัดแน่นไปด้วยแนวคิดและคำแนะนำดีๆ ซึ่งถ้าผู้อ่านนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและบริหารการเงิน ก็มีความหวังว่าสักวันจะสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ด้วยตนเอง ดังเช่นที่ผู้เขียนได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว
สรุป
หนังสือ “เปลี่ยนสันดาน สร้างอิสรภาพทางการเงิน” ของคุณกวี ชูกิจเกษม ได้ถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปฏิบัติ 5 ขั้นตอนที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแท้จริง โดยเน้นย้ำที่การปรับเปลี่ยนสันดานหรือนิสัยที่ติดตัวมาจากธรรมชาติของมนุษย์ ที่ฉุดรั้งไม่ให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งความยากจน ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าแค่การมีเงินเดือนสูง มีธุรกิจรายได้ดี หรือมีสินทรัพย์มากมาย ก็ไม่ได้การันตีว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืนได้ หากยังคงดำเนินชีวิตไปตามสันดานเดิมๆ ที่ชอบใช้จ่ายเกินตัว ไม่เคยพอ และสร้างหนี้สินล้นพ้นตัว
ดังนั้น จุดเริ่มต้นสำคัญที่สุดในการสร้างอิสรภาพทางการเงินก็คือ การ “เปลี่ยนสันดาน” ของเราเอง ให้หันมาดำเนินชีวิตอย่างมีสติ รู้จักพอ มีเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน มีวินัยในการออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แล้วสักวันเราจะก้าวไปถึงจุดหมายปลายทางของอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอายุเท่าไรแล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเสมือนคู่มือและแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่สดใสกว่าเดิม ด้วยหลักการเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่หากมีความมุ่งมั่นทำตามอย่างต่อเนื่อง ก็จะนำพาทุกคนไปสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริงได้ในที่สุด