สรุปหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits (หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ)

หนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ
หนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อหนังสือ : Common Stocks and Uncommon Profits (หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ)

ชื่อผู้แต่ง : Philip A. Fisher

สำนักพิมพ์ : ฟิเดลลิตี้พับลิชชิ่ง

ปีที่พิมพ์ : 1958 (ฉบับแรก), แปลเป็นภาษาไทยในภายหลัง

จำนวนหน้า : 328 หน้า

หมวดหนังสือ : การเงินการลงทุน, บริหารธุรกิจ

สารบัญหลัก

  • 1 บทเรียนจากอดีต
  • 2 วิธีการ “สกัตเติลบัต”
  • 3 สิ่งที่ควรซื้อ – 15 จุดที่ควรมองหาในหุ้นสามัญ
  • 4 การประยุกต์ใช้กับความต้องการของคุณเอง
  • 5 เมื่อไหร่ควรซื้อ
  • 6 เมื่อไหร่ควรขาย – และเมื่อไหร่ไม่ควรขาย
  • 7 ความวุ่นวายเกี่ยวกับเงินปันผล
  • 8 ห้าข้อที่นักลงทุนไม่ควรทำ
  • 9 ห้าข้อเพิ่มเติมที่นักลงทุนไม่ควรทำ
  • 10 วิธีการค้นหาหุ้นเติบโต
  • 11 สรุปและบทสรุป

สรุปข้อคิดจากหนังสือ

หนังสือเล่มนี้นำเสนอปรัชญาการลงทุนของ Philip Fisher ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Warren Buffett ในเรื่องการลงทุนแบบเน้นการเติบโต (Growth Investing) Fisher เสนอแนวทางการลงทุนที่เน้นการค้นหาและถือครองหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งสวนทางกับการซื้อขายระยะสั้นหรือเก็งกำไร

1. การวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นสิ่งจำเป็น

Fisher เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำวิจัยอย่างละเอียดก่อนการลงทุน การลงทุนที่ดีต้องมาจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขทางการเงิน แต่ต้องครอบคลุมถึงอุตสาหกรรม ตำแหน่งทางการแข่งขัน และศักยภาพในการเติบโตของบริษัท การวิจัยที่ละเอียดช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลที่ชัดเจนและลดความเสี่ยงในการลงทุน Fisher เชื่อว่าหากคุณต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด คุณต้องทำงานหนักกว่าและต้องมีข้อมูลที่ดีกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาด

2. วิธีการ “สกัตเติลบัต” (Scuttlebutt Method)

หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นที่สุดที่ Fisher นำเสนอคือวิธีการ “สกัตเติลบัต” ซึ่งหมายถึงการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจากแหล่งต่างๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ซัพพลายเออร์ คู่แข่ง และพนักงาน Fisher เชื่อว่าการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะให้มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัทที่ยากจะพบในรายงานสาธารณะ วิธีการนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถแยกแยะบริษัทที่มีคุณภาพสูงจากบริษัทที่มีคุณภาพต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลงทุนในบริษัทคุณภาพสูง

Fisher เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูง มีการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม มีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาด และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน เขาเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว แม้ว่าในตอนแรกอาจจะมีราคาแพงกว่า การมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าราคาเป็นแนวคิดหลักของ Fisher ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนแนวคุณค่า (Value Investors) ที่มักจะมองหาหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี

4. มองหาศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

Fisher เน้นการซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว บริษัทที่มีนวัตกรรม ลงทุนอย่างสม่ำเสมอในการวิจัยและพัฒนา และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า การเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในหุ้น เพราะบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจะสามารถเพิ่มกำไรและมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่หยุดนิ่ง

5. ความซื่อสัตย์และความสามารถของฝ่ายบริหารมีความสำคัญ

การประเมินฝ่ายบริหารของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ Fisher กระตุ้นให้นักลงทุนมองหาผู้นำที่มีความสามารถและมีประวัติการตัดสินใจที่มีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงมักจะนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว Fisher เชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารคุณภาพต่ำเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรรับ แม้ว่าบริษัทนั้นจะมีผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมก็ตาม

6. อัตรากำไรบ่งบอกถึงสุขภาพและประสิทธิภาพ

อัตรากำไรที่แข็งแกร่งเป็นสัญญาณที่ดีของประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท Fisher แนะนำให้หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตรากำไรลดลง เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการบริหารจัดการที่ไม่ดีหรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น บริษัทที่สามารถรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำมักจะมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นลักษณะที่ Fisher มองหาในการลงทุน

7. หลีกเลี่ยงบริษัทที่ไล่ตามกำไรระยะสั้น

Fisher เตือนให้ระวังบริษัทที่เปลี่ยนความสนใจอยู่ตลอดเวลาเพื่อไล่ตามกำไรระยะสั้น บริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าในระยะยาวได้น้อยกว่าและอาจประสบปัญหาในช่วงเศรษฐกิจที่ยากลำบาก การมุ่งเน้นไปที่ผลกำไรระยะสั้นมักจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดีในระยะยาว เช่น การตัดลดค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา หรือการลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อลดต้นทุน

8. ถือครองการลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยม

Fisher เชื่อว่าหากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง นักลงทุนควรถือครองหุ้นของตนไว้ การขายเร็วเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหุ้นเติบโตคุณภาพสูง อาจนำไปสู่การพลาดกำไรในระยะยาว Fisher มักกล่าวว่า “ขณะที่เวลาผ่านไป ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สำเร็จมักจะเกินความคาดหวังเริ่มต้นอย่างมาก” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรถือครองหุ้นคุณภาพสูงในระยะยาว

9. ความอดทนเป็นกุญแจสู่กำไร

ปรัชญาของ Fisher เน้นย้ำถึงความอดทน การลงทุนคุณภาพสูงหลายรายการต้องใช้เวลาในการเพิ่มมูลค่า ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนที่จะยังคงยึดมั่นในการวิจัยของตนและไม่ถูกชักจูงโดยความผันผวนของตลาดในระยะสั้น Fisher เชื่อว่าความอดทนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ การขาดความอดทนมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียโอกาสในการลงทุนที่ยอดเยี่ยม

10. เรียนรู้อย่างต่อเนื่องและปรับตัว

Fisher สนับสนุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องและการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดใหม่ การติดตามข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มล่าสุดของอุตสาหกรรมและการพัฒนาแนวทางการลงทุนของตนเองเมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาว โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และนักลงทุนที่ไม่สามารถปรับตัวได้มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การเปิดใจรับแนวคิดใหม่และเทคโนโลยีเกิดใหม่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนของ Fisher

11. 15 จุดที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้น

Fisher ได้นำเสนอรายการตรวจสอบ 15 ข้อที่มีชื่อเสียงเพื่อประเมินบริษัทก่อนการลงทุน รายการนี้ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ศักยภาพการเติบโตของตลาด ความมุ่งมั่นของฝ่ายบริหารต่อนวัตกรรม การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงความซื่อสัตย์ของฝ่ายบริหาร แม้ว่าอาจเป็นไปไม่ได้ที่จะหาบริษัทที่ตรงตามเกณฑ์ทั้งหมด แต่ยิ่งบริษัทตรงตามเกณฑ์มากเท่าไร ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นการลงทุนที่ดีมากขึ้นเท่านั้น

12. จังหวะเวลาในการซื้อมีความสำคัญ

Fisher เชื่อว่าแม้การเลือกบริษัทที่ถูกต้องจะสำคัญ แต่จังหวะเวลาในการซื้อก็สำคัญเช่นกัน เขาแนะนำให้มองหาบริษัทที่ยอดเยี่ยมที่กำลังประสบปัญหาชั่วคราว เช่น โรงงานที่ล่าช้าหรือค่าใช้จ่ายที่สูงผิดปกติในระยะสั้น โอกาสเหล่านี้มักจะนำไปสู่จุดเข้าซื้อที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทน อย่างไรก็ตาม Fisher เตือนให้ระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราวจริงๆ ไม่ใช่สัญญาณของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งกว่า

13. เงินปันผลไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด

Fisher มองว่าเงินปันผลไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาการลงทุน สิ่งที่สำคัญกว่าคือบริษัทจะใช้เงินทุนอย่างไรเพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น ในบางกรณี การนำกำไรกลับมาลงทุนใหม่ในโรงงานใหม่ การวิจัยและพัฒนา หรือโครงการประหยัดต้นทุนอาจเป็นประโยชน์มากกว่าการจ่ายเงินปันผล สำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล Fisher เชื่อว่าการเติบโตของราคาหุ้นมักจะมีความสำคัญมากกว่ารายได้จากเงินปันผลในระยะสั้น

14. การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

Fisher เตือนว่าการกระจายความเสี่ยงมากเกินไปอาจเป็นอันตรายพอๆ กับการกระจายความเสี่ยงไม่เพียงพอ นักลงทุนมักซื้อหุ้นมากเกินไปด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียเงินต้น แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นคือพวกเขาสูญเสียจุดสนใจและลงทุนในบริษัทที่พวกเขามีความรู้น้อยมาก Fisher เสนอแนะว่าพอร์ตการลงทุนที่มีความเข้มข้นมากกว่าในหุ้นที่คุณเข้าใจและมีความมั่นใจอย่างสูงมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

15. การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมฝูงชน

Fisher เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคิดอย่างเป็นอิสระและการไม่ตามฝูงชน บ่อยครั้งที่ชุมชนการเงินจะยอมรับมุมมองที่มองโลกในแง่ดีหรือแง่ลบมากเกินไปเกี่ยวกับหุ้นบางตัว แม้ว่าจะไม่มีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงก็ตาม การต้านทานแรงกดดันทางสังคมเหล่านี้และยึดมั่นในการวิเคราะห์ของคุณเองเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ความกล้าที่จะเดินสวนทางกับฝูงชนเมื่อการวิจัยของคุณบ่งชี้ว่าคุณควรทำเช่นนั้น สามารถนำไปสู่โอกาสการลงทุนที่ยอดเยี่ยมได้

สรุป

“Common Stocks and Uncommon Profits” เป็นคำแนะนำที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในหุ้น แม้ว่าจะเขียนขึ้นในปี 1958 แต่หลักการของ Fisher ยังคงเกี่ยวข้องกับนักลงทุนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยอย่างละเอียด การมองระยะยาว และการลงทุนในบริษัทคุณภาพสูงที่มีศักยภาพในการเติบโต

แนวทางของ Fisher แตกต่างจากนักลงทุนแนวคุณค่าแบบดั้งเดิมที่มักจะมุ่งเน้นไปที่การหาหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีหรือมูลค่าที่แท้จริง แทนที่จะเน้นที่ราคา Fisher เน้นที่คุณภาพและศักยภาพในการเติบโต เขาเชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผลจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในบริษัทที่ธรรมดาในราคาที่ถูกมาก

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวผ่านตลาดหุ้น “Common Stocks and Uncommon Profits” ยังคงเป็นคู่มือที่มีค่าที่ช่วยให้เข้าใจแก่นแท้ของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ หลักการของ Fisher – การวิจัยอย่างละเอียด การคิดอย่างเป็นอิสระ ความอดทน และการมุ่งเน้นไปที่คุณภาพและการเติบโต – ยังคงเป็นรากฐานของกลยุทธ์การลงทุนสมัยใหม่ที่ประสบความสำเร็จหลายแบบ